คู่แข่งที่แท้จริง
ทุกปีในสหรัฐอเมริกาจะมีการประกวดแข่งขันสะกดคำ โดยจำกัดเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี งานนี้เป็นงานระดับชาติ มีเด็กมาร่วมแข่งขันถึง 10 ล้านคน และมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในรอบสุดท้าย
ปีนี้ผู้ที่ฝ่ามาถึงรอบสุดท้ายมีเพียง 13 คน ซามีร์ ปาเตล วัย 12 ขวบ ซึ่งปีที่แล้วได้อันดับ 2 เป็นตัวเต็งอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 คือราชีพ ทาริโกพูลา ซึ่งได้ที่ 4 เมื่อปีที่แล้ว
ชัยชนะน่าจะเป็นของซามีร์ แต่แล้วเขาก็พลาดเมื่อเจอคำว่า eramacausis (แปลว่าอะไร โปรดหาจากพจนานุกรมเล่มใหญ่ๆ) การตกรอบของซามีร์ ทำให้ราชีพเป็นตัวเต็งอันดับ 1 ทันที
มีนักข่าวคนหนึ่งถามราชีพว่า ดีใจไหมที่คู่ปรับตกรอบไป คำตอบของราชีพก็คือ “ไม่ครับ นี่เป็นการแข่งขันกับ คำ ไม่ใช่กับ คน ครับ”…ไม่ทันขาดคำ เสียงตบมือก็ดังก้องห้องประชุม
คำตอบของราชีพคงทำให้ผู้ใหญ่หลายคนได้คิด ใช่หรือไม่ว่าเวลาเราแข่งขันในเรื่องอะไรก็ตาม เรามักจะมองเห็นผู้ร่วมแข่งขันเป็นปรปักษ์หรือฝ่ายตรงข้าม ในใจจึงอยากให้เขามีอันเป็นไป เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชนะแต่ผู้เดียว หารู้ไม่ว่าลึกๆ ความอิจฉาและพยาบาทกำลังก่อตัวขึ้น ดังนั้น แข่งไปจึงทุกข์ไป แข่งเสร็จแล้วก็ยังทุกข์อีกที่เห็นคนอื่นเก่งกว่าตน
แต่สำหรับราชีพ แม้การแข่งขันจะดุเดือดอย่างไร เขาไม่ได้มองไปที่คน แต่มองไปที่คำ สำหรับเขาความท้าทายอยู่ที่การต่อสู้กับคำยากๆ คำยากทุกคำคือปริศนาที่เขาต้องถอดออกมาเป็นตัวๆ ให้ได้ เมื่อใจไปจดจ่ออยู่ที่คำเหล่านี้ เขาจึงไม่ยินดียินร้ายที่ผู้ร่วมแข่งขันจะไปหรืออยู่
แม้ว่าในที่สุดราชีพจะได้เป็นที่ 4 (เพราะแพ้คำว่า Heiligenschein) แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทุกข์เพราะเกลียดหรืออิจฉาคนที่เก่งกว่าเขา คงมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะศึกษาค้นคว้าให้หนักขึ้นเพื่อพิชิตคำยากๆ ในปีหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปีหน้าเขาต้องฉลาดกว่าปีนี้แน่ มองในแง่นี้ แม้เขาจะ “แพ้” แต่เขาไม่ขาดทุนเลย กลับมีกำไรด้วยซ้ำ
มุมมองของราชีพนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะในยามแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าสำหรับการดำเนินชีวิต และสัมพันธ์กับผู้คนด้วย…ใช่หรือไม่ว่า ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใจเรามักจะพุ่งตรงไปยังคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เท่าใดนัก ดังนั้นแม้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์จะถูกต้อง ให้แง่คิดที่ดีเพียงใดก็ตาม แต่เราไม่สนใจที่จะไตร่ตรองเสียแล้ว เพราะใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียด และโกรธคนที่วิพากษ์วิจารณ์เรา
ถ้าเราหันมาใส่ใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์กันให้มากขึ้น และสนใจให้น้อยลงกับการตอบโต้เพื่อเอาชนะคะคานคนที่วิพากษ์วิจารณ์ นอกจากเราจะทุกข์หรือโกรธเกลียดน้อยลงแล้ว เรายังมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นด้วย โดยเฉพาะหากเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้อง ด้วยท่าทีเช่นนี้ เราจะได้กำไรสถานเดียว…คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ ถึงกับบอกว่า วันไหนไม่ได้รับคำตำหนิ วันนั้นถือเป็นอัปมงคลเลยทีเดียว
เวลาทำงานก็เช่นกัน ถ้าเรามองว่านี้เป็นการต่อสู้ปลุกปล้ำกับงาน เราจะไม่เดือดร้อนที่คนอื่นทำได้ดีกว่าเรา ใครจะดีจะเก่งก็เป็นเรื่องของเขา เพราะในใจนั้นนึกอยู่เสมอว่า “ฉันกำลังแข่งขันกับงาน ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น” นอกจากจะไม่อิจฉาเขาแล้ว ยังพยายามเรียนรู้จากเขาว่ามีวิธีการอย่างไร เพื่อเอาไปใช้ในการพิชิตงานที่กำลังทำอยู่ หรือทำให้งานนั้นดีขึ้น
มองให้ลึกลงไปแล้ว คนไม่ใช่คู่แข่งของเรา กิเลส ตัณหา ความเห็นแก่ตัว หรือความหลงตนต่างหากที่เป็นคู่แข่งของเรา แทนที่จะสู้กับใครต่อใคร เราควรหันมาสู้กับอกุศลธรรมในตัวเราดีกว่า ที่แล้วมาเราต่อสู้กับใครต่อใครมากแล้ว แต่ไม่ได้ต่อสู้กับอกุศลธรรมเหล่านี้ เราจึงทุกข์ไม่เว้นแต่ละวัน
ถึงที่สุดแล้ว แม้แต่คนที่คิดร้ายต่อเรา เขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของเรา ความโกรธเกลียดหรือความเห็นแก่ตัวในใจเขาต่างหาก ที่เป็นศัตรูของเรา สิ่งที่เราควรจัดการคือความชั่วร้ายในใจของเขา มิใช่จัดการตัวเขา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะปลอดภัยและมีชีวิตที่สงบสุขอย่างแท้จริง เพราะการขจัดศัตรูที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนเขามาเป็นมิตร
…แล้วอะไรล่ะที่จะเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้ หากมิใช่การใช้ความดีชนะใจเขา
ที่มา : จากนิตยสาร Family มิถุนายน 2549
ภาพ : http://www.northsouth.org/