จอห์น โด และ เจน โด- คุณและคุณนายปริศนา
ชื่อ “John Doe” และ “Jane Doe” มีรากศัพท์มาจากประเทศอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 14-15 โดยใช้ในบริบททางกฎหมายเพื่อแทนบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ คำว่า “Doe” เป็นนามสกุลทั่วไปที่ใช้กันในยุคนั้น ส่วน “John” และ “Jane” เป็นชื่อสามัญที่นิยมใช้ จึงกลายเป็นคำแทนบุคคลที่ไม่ระบุตัวตน ต่อมาคำนี้ถูกนำมาใช้ในระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและแพร่หลายไปในหลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ
ลักษณะการใช้
ชื่อ “John Doe” และ “Jane Doe” ถูกนำไปใช้ในหลายบริบท ได้แก่
ทางกฎหมาย – ใช้ในคดีที่ต้องการปกปิดตัวตนของโจทก์หรือจำเลย เช่น คดี “Roe v. Wade” ซึ่งชื่อ “Jane Roe” ถูกใช้แทนชื่อจริงของโจทก์
ทางการแพทย์ – ใช้ระบุตัวผู้ป่วยที่หมดสติหรือไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน เช่น ผู้ที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองได้
ในเอกสารและเทคโนโลยี – ใช้เป็นตัวอย่างในแบบฟอร์ม การสาธิตซอฟต์แวร์ หรือฐานข้อมูลตัวอย่างที่ต้องใช้ชื่อสมมติ
ในวงการสืบสวนและอาชญากรรม – ใช้เรียกศพนิรนามที่ยังไม่มีการระบุตัวตน เช่น “John Doe #1” หรือ “Jane Doe #2” เพื่อเป็นรหัสแทนจนกว่าจะมีการยืนยันตัวตนได้
ในโลกตะวันตก ชื่อ “John Doe” และ “Jane Doe” เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งปรากฏบ่อยครั้งในสื่อ ภาพยนตร์ และรายการโทรทัศน์ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Jane Doe หรือ The Autopsy of Jane Doe ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลนิรนามในบริบทสืบสวนและสยองขวัญ
ตัวอย่างประกอบ
กรณีศึกษาในทางกฎหมาย: คดี Doe v. Bolton ที่ใช้ “Doe” เป็นชื่อสมมติของผู้หญิงที่ยื่นฟ้องร้องเกี่ยวกับสิทธิการทำแท้ง
ในทางการแพทย์: โรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกามักใช้ “John Doe” หรือ “Jane Doe” เป็นชื่อชั่วคราวสำหรับผู้ป่วยที่หมดสติหรือไม่มีเอกสารระบุตัวตน
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม: ภาพยนตร์ The Autopsy of Jane Doe เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศพหญิงนิรนามที่กลายเป็นปริศนาลึกลับ
บทสรุป
John Doe และ Jane Doe เป็นชื่อสมมติที่มีความสำคัญในหลายแง่มุมของสังคม ไม่ว่าจะเป็นในทางกฎหมาย การแพทย์ หรือการสืบสวนคดีอาชญากรรม การใช้ชื่อเหล่านี้ช่วยให้กระบวนการทำงานในระบบต่างๆ เป็นไปได้อย่างสะดวกและมีมาตรฐาน ทำให้ “John Doe” และ “Jane Doe” เป็นชื่อที่ยังคงถูกใช้อย่างกว้างขวางมาจนถึงปัจจุบัน