เส้นนาซคา Nazca Lines

เส้นนาซคา Nazca Lines

OLYMPUS DIGITAL CAMERA


ณ ทะเลทราย ประเทศเปรู (Peru) มี สิ่งมหัศจรรย์ แห่งหนึ่งที่โด่งดังไปทั่วโลกคือ เส้นนาซคา(Nazca Lines)
เส้นดังกล่าวเกิดขึ้น จากการตักเอาหินพื้นผิวสีแดงในบริเวณดังกล่าวออก ให้เห็นพื้นผิวชั้นในซึ่งมีสีอ่อนกว่า ซึ่งเมื่อมองจากทางอากาศ จะเห็นเส้นเหล่านี้ลากผ่านไปในทิศทางต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีหลายจุดที่เส้นเหล่านี้วาดกันให้เห็นเป็นรูปร่างสัตว์และมนุษย์ขนาดมหึมา สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น

สิ่งมหัศจรรย์ เส้นนาซคา (Nazca Lines)

ขนาดอันใหญ่โตของภาพวาดเหล่านี้ ชวนให้พิศวงใจว่า มนุษย์สมัยโบราณสามารถประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร โดยที่ไม่มีภาพถ่ายทางดาวเทียม ทำให้มีเสียงร่ำลือว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเส้นนาซคาเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยของยานอวกาศเข้าช่วยเป็นแน่

เอริก ฟอน เดนิเคน นักเขียนชาวสวิส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการผู้เชื่อเรื่อง ยูเอฟโอ-เอเลี่ยน ได้เคยอ้างไว้ว่า เส้นนาซคานี้เป็น “หลักฐาน” สนับสนุนแนวคิดของตนที่ว่า มนุษย์ต่างดาวเคยเดินทางมาเยี่ยมเยียนโลกนานมาแล้ว และได้มาสร้างสรรค์อารยธรรมไว้จำนวนมาก หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Ancient Astronauts ซึ่งนอกจากเส้นนาซคาแล้ว นายเดนิเคนยังอ้างว่าเอเลี่ยนเป็นผู้สร้างพีระมิดแห่งกีซ่าในประเทศอียิปต์อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม

วงการโบราณคดีสรุปตรงกันว่า เส้นนาซคาสร้างโดยชาวนาซคา ซึ่งอาศัยในบริเวณดังกล่าว ประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว ส่วนสาเหตุที่ ภาพนาซคา ดำรงอยู่ได้จนถึงวันนี้ก็เป็นเพราะ ถึงแม้ภาษาไทยจะเรียกบริเวณนั้นว่า “ทะเลทราย” แต่ทะเลทรายในที่นี้ไม่ได้เป็นทราย แต่เป็นหินสีแดงนั่นเอง นอกจากนี้ ทะเลทรายนาซคายังแห้งแล้ง ไม่มีฝนตกอีกด้วย จึงรับผลกระทบจากภูมิอากาศน้อยมาก

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ส่วนการออกแบบรูปทรงต่างๆ นั้น เป็นที่รู้กันดีในวงการโบราณคดีทุกวันนี้แล้วว่า คนสมัยโบราณมีเทคโนโลยีง่ายๆ ที่สามารถสร้างงานครอบคลุมบนพื้นที่ใหญ่ๆ ได้ เช่น ใช้ไม้ปักบอกตำแหน่ง ซึ่งถึงแม้จะใช้เวลานาน ใช้กำลังคนมหาศาล แต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถของมนุษย์

ถึงแม้ทุกวันนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่า เส้นนาซคา ประดิษฐ์มาเพื่ออะไร นักวิชาการบางคนเดาว่าเพื่อใช้เป็นปฏิทินดูดาว บางส่วนเสนอว่า สร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าตามความเชื่อท้องถิ่น นี่คือ ปริศนา ที่แท้จริงของเส้นนาซคา และถกเถียงกันด้วยหลักโบราณคดี ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรือลึกลับใดๆ ถือเป็น สิ่งมหัศจรรย์ ให้คนรุ่นหลังได้ชมอีกทางหนึ่ง

ที่มา: http://travel.mthai.com/world-travel/45229.html

Leave a Reply