สาวิตรี ผู้คืนชีพสามีจากยมราช
สาวิตรี เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยเรื่องของนางสาวิตรีเป็นอุปขยาน (เรื่องแทรก)ในมหากาพย์มหาภารตะ ถูกหยิบยกนำมากล่าวถึงเมื่อครั้งที่นางเทราปตีโดนฉุดไป
นางสาวิตรีเป็นเป็นธิดาของท้าวอัศวบดีและพระนางมาลวี แห่งนครมัทรชน ก่อนที่นางสาวิตรีจะถือกำเนิดนั้น ท้าวอัศวบดีและพระนางมาลวีครองรักกันหลายสิบปีแต่ยังไม่มีโอรส ธิดาใช้เชยชม ทั้งสองจึงสวดมนต์ภาวนาขอพรจากพระนางสาวิตรี มเหสีแห่งองค์พระพรหม
แต่หลายปีผ่านไป การสวดมนต์ภาวนานี้ก็ไม่เป็นผลเสียที ท้าวอัศวบดีจึงออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญตบะ รักษาศีล ปฏิบัติสมาธิอย่างเคร่งครัด ทำเช่นนี้จนล่วงเข้าปีที่ 18 พระนางสาวิตรีก็ปรากฎกายขึ้น และมอบพรให้ตามความต้องการ
ท้าวอัศวบดีเดินทางกลับนครมัทรชนทันที หนึ่งเดือนหลังจากนั้นพระมเหสีก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดพระธิดา ซึ่งได้ให้นามว่า “สาวิตรี” ตามชื่อของพระนางสาวิตรีที่เมตตาประทานธิดาให้
นางสาวิตรีเติบโตขึ้นเป็นสตรีรูปร่างหน้าตางดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ ทั้งยังมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ทำให้ชายใดๆ ต่างคิดว่าตนไม่คู่ควรกับนาง จึงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอ
ท้าวอัศวบดีเห็นว่าพระธิดาเข้าสู่วัยสาว ควรจะแต่งงานได้แล้ว แต่ยังไม่มีชายใดมาสู่ขอ จึงออกปากให้สาวิตรีเลือกชายที่นางพอใจและเหมาะสมกับนางเอง
สาวิตรีไม่ได้คัดค้านบิดา นางออกเดินทางพร้อมด้วยทหารองครักษ์และนางกำนัลจำนวนหนึ่ง ท่องเที่ยวไปตามป่าเขา ระหว่างทางเจออาศรมฤาษีนางก็จะเข้าไปทำความเคารพและทำบุญบริจาคทานเรื่อยไป
ทางฝ่ายท้าวอัศวบดีนั้นก็รอพระธิดาอยู่สามเดือน ในที่สุดสาวิตรีก็กลับมา
นางเล่าเรื่องราวให้บิดาฟัง ว่านางเดินทางไปที่ป่าขลัง จนกระทั่งพบอาศรมฤาษี “ทยุมัตเสน” ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งนครศาลวะ มีมเหสีนาม “ไสพยา” ทั้งสองครองเมืองด้วยความซื่อสัตย์ และมีโอรสชื่อ “พระสัตยวาน” หมายถึง ผู้รักษาคำสัตย์เป็นเลิศ
ต่อมาท้าวทยุมัตเสนป่วยด้วยโรคประหลาด ดวงตาทั้งสองข้างมืดบอดลง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย พระนางไสพยาเป็นกังวลนัก ในขณะนั้นเองคนในนครที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงก็เข้าปล้นราชสมบัติ ยึดราชบัลลังก์
ท้าวทยุมัตเสนและนางไสพยาพาพระสัตยวานหนีออกมาได้ทัน และตั้งอาศรมอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่งตั้งแต่นั้นมา…
นางสาวิตรีทูลว่า ชายที่เหมาะสมกับนางยิ่งกว่าชายใด คือ พระสัตยวาน
พระนารทฤาษีซึ่งนั่งอยู่ที่นั่นด้วยรีบท้วงว่าสาวิตรีเลือกคนผิดเสียแล้ว…
ถึงพระสัตยวานจะเป็นบุรุษรูปงาม สติปัญญาฉลาดหลักแหลม จิตใจดีงาม ชอบทำบุญทำทาน ตั้งตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต กตัญญูต่อบุพการี
แต่เขาจะมีอายุสั้น ต้องเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีนับจากนี้!
นางสาวิตรีไม่ได้เปลี่ยนใจแม้แต่น้อย
สาวิตรีเป็นหญิงที่งดงามทั้งกายและใจ ถึงแม้ว่าสิ่งที่นางตัดสินใจจะนำมาซึ่งความทุกข์ในภายหลัง นางก็ไม่คิดจะถอนคำพูดแต่อย่างใด นางคิดว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นไปได้ จึงยืนยันที่จะแต่งงานกับพระสัตยวาน
พระสัตยวานยินดียิ่งนักที่ได้สาวิตรีที่มีความงดงามทั้งกายและใจมาเป็นภรรยา
สาวิตรีย้ายมาอยู่ที่อาศรมของท้าวทยุมัตเสน นางเก็บเสื้อผ้าสีสันสวยงามและเครื่องประดับมีค่าต่างๆไว้ในหีบ และนุ่งห่มผ้าขาวตามพระนางไสพยาและพระสัตยวาน
ทุกๆวัน นางจะเตรียมอาหารให้พ่อแม่สามีและสามีอย่างไม่ขาดตกบกพร่องด้วยความเต็มใจ ไม่เคยปริปากบ่นเลย
สาวิตรีมีความสุขที่ได้อยู่กินกับชายที่นางรัก แต่เมื่อหวนนึกถึงคำของพระนารทฤาษีก็ทุกข์ใจนัก ว่าถ้านางไม่มีพระสัตยวานเคียงข้าง นางจะเหงาและเปล่าเปลี่ยวเพียงใด…
เวลาล่วงเลยผ่านไป จนอีกสี่วันจะครบกำหนด นางสาวิตรีได้บำเพ็ญตรีราตระธุดงค์ คือ อดอาหารเป็นเวลาสามวันสามคืน เพื่อช่วยพระสัตยวานให้พ้นจากบ่วงกรรม
เมื่อถึงวันที่ครบกำหนดแล้ว สาวิตรีนั้นเศร้าหมองใจยิ่งนัก พระสัตยวานเห็นนางเศร้าหมองก็ปลอบโยน นางรับรู้ได้ถึงความห่วงใยของสามีก็ยิ่งทุกข์ระทม เพราะความรักที่ทั้งสองมีให้กันนั้นเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ปราถนาจะให้คนที่เรารักมีความสุขโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน…นางตั้งสัตย์ปฏิญาณกับตนเองว่า…แม้พระสัตยวานจะจากไป…นางก็จะไม่ปราถนาชายใดมาเป็นคู่ครองอีกตลอดชีวิต…
พระสัตยวานขอตัวไปตัดฟืนในป่า สาวิตรีร้องขอสามีให้พาตนไปด้วย ตอนแรกพระสัตยวานเป็นห่วงนางอันเป็นที่รัก แต่เมื่อเห็นว่าสาวิตรีร้องไห้ขอตามไปด้วยก็ใจอ่อน
สาวิตรีกล่าวว่า ไม่ว่าจะลำบากเพียงใด ขอแค่วันนี้นางได้อยู่ใกล้พระสัตยวานโดยไม่ให้คลาดเพียงเสี้ยววินาทีก็พอ…
ระหว่างทางที่เข้าป่ามา สาวิตรีมองทุกอิริยาบถของสามี คล้ายจะประทับไว้ในความทรงจำไม่ลืมเลือน…
ขณะที่พระสัตยวานตัดฟืน สาวิตรีก็นั่งมองอยู่ห่างๆ แต่อยู่ดีๆ พระสัตยวานก็บอกว่าปวดหัว เดินโซเซมาหานางและล้มตึงไป นางตกใจรีบพาสามีมานอนใต้ร่มไม้ใหญ่
นางมองสามีที่บัดนี้ร่างกายขาวซีด สงบนิ่งเหมือนไม่มีชีวิต พลางร้องไห้เรียกให้พระสัตยวานฟื้นขึ้นมา ทันใดนั้น พระยมก็มายืนอยู่ข้างกายพระสัตยวาน
พระยมดึงวิญญาณของพระสัตยวานไป สาวิตรีเดินตามพระยมไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย พระยมเห็นนางเดินตามมาก็กล่าวว่า อย่าเสียเวลาเดินตามมาเลย
นางตอบกลับอย่างนุ่มนวลและกล้าหาญว่า ไม่ว่าสวามีจะอยู่แห่งใด นางก็จะตามไปทุกที่ ไม่ว่าอุปสรรคจะมากมายเท่าใด นางก็ไม่หวั่นเกรง
พระยมพอใจในวาจาของนาง จึงให้นางขอพรได้หนึ่งข้อ ยกเว้นขอชีวิตพระสัตยวาน
สาวิตรีขอพรว่า ขอให้บิดาของพระสัตยวานซึ่งดวงตามืดสนิท กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง
พระยมมอบพรให้และกล่าวว่านางอย่าตามมาอีกเลย แต่สาวิตรีก็ยังเดินตามต่อไป พร้อมพูดคติธรรมให้พระยมฟังเรื่อยๆ พระยมพอใจในวาจาของนางหนักหนา มอบพรให้อีกข้อหนึ่ง เว้นชีวิตพระสัตยวาน
นางขอให้ท้าวทยุมัตเสน ได้ราชสมบัติคืน พระยมก็มอบให้
นางกล่าวคติธรรมต่อไปเรื่อยๆ พระยมกล่าวว่า คำพูดของนางนั้นเหมือนน้ำเย็นที่สะอาดบริสุทธิ์ จึงให้นางขอพรได้อีกเป็นครั้งที่สาม มีข้อยกเว้นเช่นเดิม
นางขอพรว่า ให้บิดามารดาของนางมีโอรสร้อยองค์ เพื่อจะได้มีรัชทายาทสืบสกุลต่อไป
สาวิตรีใช้สติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลมกล่าวชื่นชมพระยมว่าทรงเป็น ธรรมราชา คือผู้ที่มีความยุติธรรมเป้นเลิศ พระยมพอใจจึงมอบพรข้อที่สี่ให้ โดยยกเว้นเช่นเดิม
สาวิตรีขอให้นางมีโอรสร้อยองค์กับพระสัตยวาน
พระยมไม่ได้คิดถึงความหมายของพรที่นางขอจึงมอบให้
นางกล่าวคติธรรมต่อไป พระยมศรัทธาในตัวนางมากขึ้น และให้พรนางอีกหนึ่งข้อ และครั้งนี้ขอให้เป็นพรที่ประเสริฐสุดสำหรับนางเอง
นางจึงกล่าวว่า พรข้อที่สี่ที่พระยมประทานให้ไม่มีวันสัมฤทธิผล หากปราศจากพระสัตยวาน ดังนั้นจึงขอชีวิตพระสัตยวานคืน
พระยมไม่อาจคืนคำตนเองได้จึงมอบวิญญาณพระสัตยวานคืนให้ และขอให้ทั้งสองอยู่กินกันอย่างมีความสุข…
พระสัตยวานฟื้นขึ้นมา สาวิตรีร้องไห้ดีใจอยู่ข้างกายสามี ทั้งสองเดินทางกลับอาศรมอย่างปลอดภัย
เมื่อกลับมาก็พบว่าท้าวทยุมัตเสนกลับมามองเห็นได้ดั่งเดิมแล้ว ไม่นานหลังจากนั้น อำมาตย์ผู้จงรักภักดีแห่งเมืองศาลวะก็เดินทางมาที่อาศรม และเเจ้งข่าวว่า พวกคนโฉดนั้นถูกสังหารไปแล้ว พวกตนมาเชิญท้าวทยุมัตเสนกลับไปปกครองเมือง
ด้วยความที่ท้าวทยุมัตเสนและพระนางไสพยาชรามากแล้ว พระสัตยวานจึงได้ครองบ้านเมืองแทน โดยมีนางสาวิตรีเป็นพระมเหสี ครองรักกันอย่างมีความสุข
หลังจากนั้น นางสาวิตรีก็ให้กำเนิดโอรสร้อยองค์ และได้ทราบข่าวว่ามารดาของนางได้ให้กำเนิดโอรสร้อยองค์เช่นกัน เป็นอันว่า พรที่พระยมให้นางนั้นเป็นจริงทุกประการ…
ที่มา: https://writer.dek-d.com/sasadonat/story/viewlongc.php?id=892984&chapter=42