คุกจำลอง Stanford ตอนที่ 3 (จบ)

คุกจำลอง Stanford ตอนที่ 3 (จบ)

การทดลองถูกประกาศให้ยุติในวันที่ 20 สิงหาคม 1971 เพียง 6 วันหลังเริ่มการทดลอง สาเหตุหลักคือพฤติกรรมอันน่าตกใจของแต่ละฝ่าย เช่นผู้คุมมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อนักโทษของตนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนฝ่ายนักโทษก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสิ้นหวังและยอมที่จะไม่โต้ตอบใดๆไม่ว่าจะโดนกระทำสักแค่ไหนก็ตาม เราจะมาสรุปผลวิจัยสั้นๆให้เข้าใจได้ง่ายๆกัน

การทดลองครั้งนี้ทำให้เห็นว่า บทบาทหรือสถานะที่ได้รับมอบให้เป็นนั้นมีผลโดยตรงกับพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง ซึ่งเราได้เห็นมาจากตอนที่แล้วว่า การวางตัวของทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งๆที่อันจริงแล้วนี่เป็นเพียงการทดลองและพวกเขาก็เป็นเพียงแค่นักศึกษาอาสาสมัครอายุไล่ๆกันที่ได้รับมอบตำแหน่งปลอมๆเท่านั้น และทุกคนในการทดลองครั้งนี้ไม่เคยถูกจับกุมหรือเคยทำหน้าที่เป็นผู้คุมใดๆมาก่อนเลยอีกด้วย

Zimbardo ได้อธิบายว่า สิ่งที่ทำให้ผู้คุมแสดงออกอย่างที่พวกเขาทำคือ “อำนาจ”ที่พวกเขาได้รับผ่านบทบาทนั่นเอง บรรดาผู้คุมได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ควบคุมชีวิตของเหล่านักโทษและไม่จำเป็นจะต้องมานั่งตัดสินผิดถูกในการกระทำของตนเองต่อคนเหล่านั้นในสถานการณ์นี้ ระหว่างการทดลอง ฝ่ายผู้คุมแสดงให้ทางทีมวิจัยเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขามีความพึงพอใจอย่างมากกับอำนาจที่ตัวเองมีเหนือคนอีกกลุ่ม นอกจากนี้พวกเขายังมีเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงสถานะในที่ที่พวกเขาอยู่ นั่นคือไม้กระบองและชุดยูนิฟอร์ม ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความมีอำนาจในสถานการณ์นั้นๆ และพวกเขายังสวมแว่นตาดำที่เป็นตัวกั้นปฎิสัมพันธ์ระหว่างเขากับนักโทษและไม่มีใครสามารถมองตาพวกเขาได้โดยตรง เครื่องหมายที่บ่งบอกถึงความไร้อารมณ์นี้ยิ่งทำให้พวกเขาดูมีพลังอำนาจมากขึ้นไปอีก ผู้คุมหลายๆคนกลายเป็นพวกซาดิสต์ทั้งๆที่ตอนแรกไม่มีสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ในตัวพวกเขาเลย อีกทั้งพวกเขาไม่เคยมาสาย ไม่เคยขอหยุดหรือออกกลางคัน ซึ่งต่างจากกลุ่มของนักโทษที่ระหว่างการทดลองนั้นมีคนต้องออกถึง 5 คน

ในด้านของนักโทษเอง กระบวนการทางพฤติกรรมอันน่าหดหู่นั้น เกิดจาก pathological prisoner syndrome ซึ่งเป็นการอธิบายว่าทำไมเหล่านักโทษถึงแสดงอาการที่บ่งบอกถึงการสูญเสียตัวตนของตนเองทางสังคมและสิ้นหวังไปในที่สุด ในขั้นแรกนั้นตัวนักโทษจะไม่ยอมรับกับสถานะที่ตนได้รับจึงนำไปสู่การต่อต้านขัดขืน แต่สุดท้ายเมื่อไม่ได้ผลแถมยังถูกทำโทษอีก นักโทษจึงละทิ้งความคิดเหล่านั้นและกลายสภาพสู่ความสิ้นหวัง เฉื่อยชา และไม่โต้ตอบอะไรอีกเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและการรังแกต่างๆนั่นเอง พวกเขานั้นแม้จะไม่ชอบในสิ่งที่โดนกระทำแค่ไหน แต่ก็เริ่มที่จะไม่สนใจว่าอะไรคือสิ่งที่ผิดหรือถูก ขอแค่ตนเองไม่เดือดร้อนไปมากกว่านี้ก็พอ ในเรื่องของเครื่องบ่งบอกสถานะ นักโทษถูกบังคับให้สวมเสื้อคล้ายกับชุดนอนผู้หญิงซึ่งเป็นการหยามเกียรติ ชื่อที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนถูกแทนที่ด้วยตัวเลข ทั้งหมดไม่มีเอกลักษณ์ที่จะแยกอีกคนจากอีกคน อีกทั้งกิจกรรมของพวกเขาในทุกช่วงนั้นขึ้นอยู่กับคำสั่งและความพอใจของผู้คุม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าห้องน้ำ อ่านหนังสือ นอน หรือทานอาหาร ทั้งหมดนี้เป็นการตอกย้ำซ้ำๆแก่บรรดานักโทษว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ใดๆแม้แต่อำนาจในการควบคุมชีวิตของตนเองเลย ซึ่งต่างจากอีกฝ่ายที่อยู่ชุดยูนิฟอร์มพร้อมอาวุธ มีอิสระในตัวเอง และมีสิทธิเหนือพวกเขาทั้งปวง และหากพวกเขาทำไม่ถูกใจผู้คุมขึ้นมา (ซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจะดีและไม่ดี เนื่องจากไม่มีอะไรเกี่ยวกับการตัดสินใจของผู้คุมที่เป็นเกณฑ์ยึดถือได้เลย) พวกเขาก็จะถูกทำโทษ ถูกทำให้อาย ไม่ว่าจะไม่อยากทำแค่ไหนก็ต้องทำ ไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจในตนเองเลยแม้แต่น้อย สถานะของพวกเขาจึงไม่ต่างจากสัตว์หรือของเล่นของผู้คุม ท้ายสุด นักโทษจึงละทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรีของตน เพราะพวกเขาถูกทำให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีมันเลยในสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อย

การทดลองนี้ทำให้เห็นว่า คนดีเมื่อถูกส่งไปอยู่ในสถานการณ์หนึ่งในฐานะใดฐานะหนึ่งอาจจะกลายเป็นปีศาจที่ทุกคนคาดไม่ถึงเหมือนผู้คุมบางคนในการทดลองครั้งนี้ แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เราได้เห็นนี้ก็ไม่ใช่ข้อสรุปว่าคนทุกคนจะต้องกลายเป็นปีศาจภายใต้ความกดดันของเหตุการณ์ที่เขาประสบ คนทุกคนมีทางเลือกที่จะคิดและกระทำ เหมือนที่ Maslach ได้ยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยวตรงข้ามกับคนอื่นที่เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคุกจำลองนั้นเป็นเรื่องธรรมดาว่ามันน่ารังเกียจและไร้ซึ่งมนุษยธรรม มันเป็นหน้าที่ของเราแต่ละคนรักษาหลักจริยธรรมและคุณธรรมไว้ให้ได้ ไม่ให้ปีศาจที่ลึกๆอาจจะมีในตัวของเราทุกคนออกมาและทำให้เราเห็นคนไม่ใช่คน

ที่มา: https://www.facebook.com/madworldTH/posts/666135206764280:0

Leave a Reply