บันทึกลับเจ้าพระยาบดินทร์เดชาฯ ตอน 2
การยุทธที่ทุ่งสำฤทธิ์
ในครัวสยามไพร่พลเมืองราชสีมาที่ถูกกวาดต้อนไปเวียงจันทร์ มีข้าหลวง กรมการ ไพร่ทหารปะปนผสมกันไป มากมายนับหมื่น มีนายกองทะลวงฟันอาทมาต ในกองทัพพระองค์เจ้าขุนเณร ชื่อว่าพระณรงค์สงคราม เชี่ยวชาญการรบกลางแปลง แลกองโจร ครั้งศึกลาดหญ้าเมืองราชบุรี ได้ไปราชการหัวเมืองตะวันออก เป็นที่จางวางส่วยทอง เมืองนครราชสีมา ก็จำต้องถูกผสมกวาดต้อนไปพร้อมด้วยข้าราชการ กรมการเมืองราชสีมาด้วย
กองทัพลาวได้คุมครัวสยามแลไพร่พล ได้เดิรทางออกจากเมืองราชสีมา เพื่อข้ามดงพระยาไฟลัดไปสู่เมืองเวียงจันทร์ ระหว่างหนทางพระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร แลพระณรงค์สงคราม กรมการ จึ่งคิดอ่านเป็นกลอุบายแล้วจัดหญิงสาวงามสาว ๆ ส่งให้ นายทัพนายกองลาวที่ควบคุมนั้นทุกคน จนชั้นแต่ไพร่พลลาวจักชอบใจผู้หญิงคนใดก็ไม่ว่า ปล่อยให้พวก ลาวเล่นหัวตามใจ ไม่ได้ว่ากล่าวห้ามหวงเลย
ครั้นเหนว่าพวกลาวหลงผู้หญิงมากนัก แลลาวรักใคร่สนิทพวกครัวสยามเป็นที่ไว้ใจเป็นอันหนึ่งเดียวพอที่จักทำการใหญ่จักจลาจลกับลาวได้แน่แล้ว พระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร พระณรงค์สงคราม จึ่งขี่ม้ามาหาเจ้าอนุที่ค่ายใหญ่ แจ้งความกับเจ้าอนุว่า “อพยพครอบครัวไปด้วยความอดอยากนัก จักขอมีดขวานสักยี่สิบสามสิบเล่ม พอจักได้ตัดหน่อไม้ในป่ากินบ้าง แลขอปืนสักเก้าบอกสิบบอก พอจักได้ยิงเนื้อในป่ามากินบ้าง แต่พอเป็นเสบียงเลี้ยงครอบครัวไปตามทาง” เจ้าอนุไม่ทันจักรู้กลอุบายสยาม จึ่งเหนจริงตามความที่ปรับทุกข์นั้นทุกประการ ก็ยอม อนุญาตให้ตามขอ
ครั้นครัวสยามได้มีมีดขวานปืนไปแล้ว จึ่งกลับไปหาครอบครัวที่ชุมนุม เมื่อหยุดพักครอบครัวที่ใด พระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร พระณรงค์สงคราม แลกรมการ พร้อมกันปรึกษาว่า “บัดนี้คิดกลอุบายไปขออาวุธที่ลาว ๆ ให้มาสมความคิดแล้ว บัดนี้เราคิดการใหญ่ จักฆ่าอ้ายลาวที่คุมพวกเราไปนั้น ฆ่าให้ตายลงเสียบ้าง แล้วพวกเราจักได้เก็บเอาอาวุธที่อ้ายลาวตายนั้น ฆ่าฟันอ้ายลาวต่อไป เราจักได้ทำการจลาจลได้ดั่งนั้นแล้ว จักได้กลับไปบ้านเมืองเรา” กรมการพร้อมใจกันเหนชอบ ด้วยความคิดท่านผู้ใหญ่
พระณรงค์สงครามผู้เป็นต้นความคิด จึ่งสั่งกรมการผู้น้อยให้ไปเที่ยวกระซิบสั่งพาครอบครัวเราว่า “ถ้าเพลาเย็นวันนี้ ครัวเราเดิรไปคงจักเถิง ท้องทุ่งสัมฤทธิ์ จำเป็นจักต้องพักครอบครัวอยู่ที่กลางท้องทุ่งสัมฤทธิ์เป็นแน่แล้ว เราจึ่งนำเกวียนวงไว้ให้รอบครัวเรา เว้นไว้เป็นช่องประตูสามด้านต้อนครัวเราเข้าอยู่ในวงเกวียน กันให้อ้ายลาวที่คุมเรานั้นอยู่นอกวงเกวียนให้หมด
สั่งพวกผู้หญิงสยามให้ไปล่อพวกอ้ายลาวให้ออกนอกวงเกวียนให้หมด พวกผู้ชายฝ่ายเราจักได้ทำการถนัดไม่กีดขวาง เพราะเดียวนี้อ้ายลาวก็หลงผู้หญิงในครัวเรามากอยู่ อ้ายลาวสาละ วนไปด้วยผู้หญิงมากนัก ไม่เป็นการจักระวังครัวเราโดยกวดขัน เราได้โอกาสช่องดีเป็นที่ อยู่ แล้วให้ขอแรงพร้อมใจกันเถิด”
ครั้นครัวเดิรไปเถิงทุ่งสัมฤทธิ์แล้ว พระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร พระณรงค์สงคราม จึ่งพูดเป็นกลอุบายกับอ้ายลาว กองนายหมวดนายหมู่ว่า “บัดนี้เดิรครัวมาเถิงท้องทุ่งสัมฤทธิ์ เป็นเพลาจวนพลบค่ำอยู่แล้ว ขอหยุดพักครัวอยู่ที่นี่ก่อนเถิด เพราะพวกผู้หญิง ในครอบครัวเมื่อยล้าหย่อนกำลังลง เดิรไม่ไหวจักตายกันเสียหมดสิ้น บ้างก็เจ็บไข้ลงบ้างแล้ว เป็นความลำบากแก่ครัวนักหนา”
สิ้นความของพระณรงค์สงครามพวกผู้หญิงครัวโคราชที่ถูกกวาดต้อน ต่างก็ทำกิริยาอาการแกล้งทำเป็นเจ็บไข้ เมื่อยล้าลงพร้อมกัน
ฝ่ายพวกลาวนายหมวดนายหมู่ก็เหนว่า ถ้าจักเร่งให้เดิรต่อไปไม่ให้หยุดพักที่นี้ เดิรไปกว่าจักเถิงเมืองเวียงจันทร์ พวกผู้หญิงสยามก็จักตายมาก พวกลาวมีความอาลัยในพวกผู้หญิงสยามนัก จึ่งยอมให้สยามพักครอบครัวในที่ท้องทุ่งสัมฤทธิ์
ครั้นครัวสยามได้พักผ่อนสมความประสงค์ดั่งวางการไว้แล้ว ก็เริ่มทำตามความคิดพระณรงค์สงครามสั่งนั้นทุกประการ พากันจัด เกวียนเวียนวงไว้เป็นขอบคันล้อมพวกครัว มีประตูสามด้านดั่งนั้นแล้ว
ครั้นเพลายามหนึ่ง พวกนายทัพนายกองลาวกำลังสาละวน แต่จักหาผู้หญิงไม่สู้จักระวังครัวนัก จึ่งเป็นโอกาสให้พระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร พระณรงค์สงคราม คิดความลับแก่กัน ก็ใช้ให้พวกกรมการแลพวกผู้ชาย ไปจัดทัพตามพระณรงค์สงครามสั่งไว้ก่อนนั้นให้เสร็จสิ้นโดยพลัน ดั่งมี
พระณรงค์สงคราม เป็น นายทัพ คุมพวกพลผู้ชายวัยกลางเป็น ทัพหน้า
พระยาพรหมยกกระบัตร เป็น แม่กองรบ คุมพลพวกผู้ชายล้วนฉกรรจ์เป็นกองกลางเป็น ทัพหลวง
พระยาปลัด เป็น แม่กองคุมกองเกวียนครัว ซึ่งมีเด็กคนชรากับสิ่งของเครื่องใช้สรอยเป็น กองเสบียง
ท่านผู้หญิงโม้ อายุ ๔๐ เศษ ซึ่งเป็นภรรยาปลัดเมืองราชสีมา แต่ชำนาญอาวุธแลการศึก ขี่ม้า ขี่ช้างกล้าหาญ ให้เป็นแม่ทัพแม่กอง คุมพวกผู้หญิง แต่งกายล้วนตระเบงมาน ผ้าโพกหัว ถือไม้หลาว แลกระบองเป็นอาวุธ เป็น ทัพหนุน
ครั้นพระณรงค์สงคราม จัดกำลังสยามทั้งชายหญิงพลรบพร้อมถ้วนกันแล้ว ด้วยพวกครัวสยามเมืองราชสีมารู้ทั่วกันอยู่ก่อน ก็รอเพลาฤกษ์ดิถี ใจจ่อพร้อมก่อจลาจลแก่พวกลาว
เพลายามสาม เป็นยามเสาร์ เข้าห่วงปลอด ได้เพชรฤกษ์ดี ตามดิถีกำลังยามราหูเข้าจับจันทร์ อันเป็นฤกษ์ พระนเรศวรปล้นค่ายพม่าครั้งศรีอยุธยา
พระณรงค์สงคราม อยู่บนม้าขาวแซม มือถือหอก แลปืน คุมพลผู้ชายเป็น กองทัพหน้า
ท่านผู้หญิงโม้ ขี่ม้าดำ มือถือหอก คุมพลพวกผู้หญิงที่ฉกรรจ์ ๓๐๐ คน เป็นกองหนุน
พระยาปลัดขี่กระบือ ถือปืนแลหลาว คุมพลแลครัวชายหญิงเป็นแม่กองรักษาเกวียน
พระยาพรหมยกกระบัตรขี่กระบือ มือถือปืนแลหลาวเป็นทัพหลวง มีผู้ชายมาก
ครั้นเมื่อจันทร์จรเข้าฤกษ์พระนเรศวรปล้นค่าย นิมิตรหมายดั่งว่านั้น พระณรงค์สงคราม จึ่งต้อนพลให้โห่ร้องเกรียว กราวขึ้นพร้อมกัน เสียงเอิกเกริกเป็นอำนาจทัพแล้ว ก็วิ่งออกนอกวงเกวียน แล่นไล่ทะลวงฟันแทงแย่งยุด อุดตลุดเข้าบุกบั่นอ้ายลาวเป็นอลหม่าน
พวกลาวไม่ทันรู้ตัวก็ตายเกลื่อนกลาด เต็มท้องทุ่งสัมฤทธิ์ โลหิตไหลแดงไปในท้องทุ่งแลศพตายซ้อน ซับทับกันก้าวก่ายเต็ม ไปทั้งทุ่งสัมฤทธิ์
ฝ่ายลาวนายทัพนายกองที่คุมสยามอยู่ห่างไกลเหนดั่งนั้น ก็แตกฉานเล็ดลอดหนีไปได้ พวกครัวนครราชสีมาฆ่าพวกลาวตาย ครั้งนั้นประมาณพันเศษ พวกครัวเก็บได้เครื่องสรรพาวุธได้มาก
ครั้นรุ่งสางขึ้นเพลาเช้า พระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร พระณรงค์สงคราม สั่งให้กรมการเกณฑ์ไพร่ไปตัดไม้ ไผ่มาตั้งค่ายขึ้นที่ท้องทุ่งสัมฤทธิ์ค่ายหนึ่ง พอจักได้ตั้งรับต่อสู้กับพวกลาวที่จักยกมาติดตามตีครัวสยามนครราชสีมาอีก
ครั้นตั้งค่ายไม่ไผ่ลงได้แล้วค่าย ๑ กำลังจักให้ตั้งค่ายต่างหากอีกสองค่าย แต่ยังไม่ทันจักตั้งขึ้นก็ได้รู้ข่าวว่า พวกลาวยกมาติดตามตีครัวสยามนครราชสีมาอีก จึ่งสั่งให้เตรียมัวต่อสู้กับพวกลาวอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ได้อาศัยค่ายไม้ไผ่ที่ทำสำเร็จไว้แล้วนั้นค่ายหนึ่ง พอเป็นที่กำบังกระสุนปืนลาวได้บ้าง แต่พระณรงค์สงครามกล่าวว่า “จักรอให้พวกลาวมาเถิงค่ายจึ่งจักสู้รบกันนั้น เหนจักไม่ได้ การด้วยเรากับอาวุธปืน ให้พวกเราออกไปจากค่าย ไล่ฟันแทงให้ใกล้ติดตัวลาวเสียทีเดียวเถิด มันจึ่งจักยิงไม่ได้เท่านั้นจึ่งจักสู้มันได้”
ครั้งนั้น พวกลาวที่หนีตายไปได้ ก็ได้ไปแจ้งความตามเหตุที่เสียท่วงทีแก่ครัวสยามให้เจ้าอนุฟังทุกประการ เจ้าอนุก็ตกใจ จึ่งสั่งให้ตำรวจหน้าห้าสิบคนขึ้นม้ามาสืบราชการดูพวกครัวสยามเมืองราชสีมา จักกำเริบขึ้นเป็นประการใดบ้าง
ฝ่ายพวกครัวสยามที่ตั้งค่ายอยู่ ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ เหนลาวตำรวจขี่ม้ามามาก พวกครัวสยามก็นำปืนออกไปลอบยิงลาวตำรวจตกม้า ตายบ้าง พวกลาวตำรวจเหนพวกครัวสยามไล่ยิงดั่งนั้นก็ตกใจหนีไปทั้งสิ้นด้วยกัน
ฝ่ายหลวงพิทักษ์โยธา นายกองด่านเมืองราชสีมา คุมพลทหาร ๖๐ นายขึ้นม้า ถือปืนบ้างหลาวบ้าง ไล่ติดตามฆ่าฟัน ลาวตำรวจไปจนเถิงในป่าใกล้เมืองราชสีมา ลาวตำรวจตายมากเหลือน้อย ที่เหลือตายก็เข้าไปแจ้งความกับเจ้าอนุ
เจ้าอนุจึ่งสั่งให้ เจ้าสุทธิสาร ๑ เจ้ากำพร้า ๑ เจ้าปาน ๑ เป็นแม่ทัพคุมพลทหาร ๓ พันหกร้อยคน ยำไปตีครัวสยามเมืองราชสีมาคืนมาให้ได้ โดยให้เจ้าปานคุมทหารม้า ๕๐๐ ม้า ยกล่วงหน้าไปก่อนแล้วให้เจ้าสุทธิสาร เจ้ากำพร้า คุมทหาร เดิรเท้า ๓ พันสองร้อย ยกรีบตามมาตีครัวสยามเมืองราชสีมา
ฝ่ายพระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร พระณรงค์สงคราม เหนกองทัพลาวทั้งทหารม้า แลพลเดิรเท้ามากมาย ดั่งนั้น จึ่งร่วมกันจัดวางกำลัง แลวิธีรบกับลาวเสียใหม่ โดยไม่ให้ลาวเข้ามาประชิดติดค่าย ให้ยกกำลังออกไปรบนอกค่าย โดยจัดให้
พระณรงค์สงคราม คุมพลผู้ชายเป็น ทัพหน้า
พระยาปลัด คุมพลผู้ชายล้วนฉกรรจ์เป็น ทัพหลวง
หลวงรองจ่าเมือง คุมพลผู้ชายเป็น ทัพปีกซ้าย
พระมหาดไทย คุมพลผู้ชายเป็น ทัพปีกขวา
ท่านผู้หญิงโม้ คุมพลผู้หญิงสามร้อยที่ฉกรรจ์แลไม่สู้ฉกรรจ์ร้อยหกสิบคนเป็นทัพหลัง
พวกผู้หญิงอันเป็นไพร่พล ทั้งหลาย ในทัพท่านผู้หญิงโม้ ให้แต่งกายเป็นชายเสียให้สิ้น
พระยาพรหมยกกระบัตร คุมพลชายหญิงป่วยชรา เด็ก อยู่รักษาครัวเป็น ทัพเสบียง
แต่พลที่จักสู้กับพวกลาวนั้นถืออาวุธปืนดาบหอกที่แย่งจากพวกลาวได้ บ้างถือหลาวแลไม้กระบองบ้าง ที่ไม่มีอาวุธก็ตัดไม้ยาวสองศอก เป็นไม้ขว้างกา ถือไปสำหรับจักได้ขว้างใส่พวกลาวบ้าง ต่างมีความสามัคคีพร้อมจิตใจที่อาจหาญหมายมั่นต่อสู้ข้าศึก
ไพร่พลครัวสยามเมืองราชสีมา เมื่อจัดกำลังไพร่พลพร้อม ก็ยกออกนอกค่ายรบกับพวกลาวซึ่งเพรียบพร้อมด้วย ศาสตราอาวุธครบ ณ กลางแปลงหน้าค่ายทุ่งสัมฤทธิ์ ได้รบกันเป็นสามารถเถิงขั้นตะลุมบอน ทั้งลาวทั้งสยามตายลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย ครัวสยามเมืองราชสีมาผู้หญิงตายเสียมากด้วยว่าไม่ชำนาญการศึก มีแต่ใจฮึกอาจหาญก็ไม่อาจทนทานอาวุธลาวได้ พวกลาว สังหารหญิงสยามตายเสียบาดเบือ
การศึกนี้ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้า อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองครัวสยามเมืองราชสีมา บันดาลให้ พระสุภมาตรา รองแม่ทัพปีกซ้ายครัวสยามขี่ม้าทะลวงฟันเข้ากลางทัพลาว เถิงตัวแม่ทัพกองทหารม้าตัวกลั่น แลสามารถตัดศีรษะ แล้วเสียบปลายหอก ขับม้าฝ่าตะโกนดั่งก้องไปทั่วทัพทั้งสยามลาวล้วนเหนกันถ้วนทั่ว จากนั้นก็นำไปเสียบไว้หน้าค่ายครัวสยามเมืองราชสีมา
ฝ่ายแม่ทัพนายกองไพร่พลลาวเหนดั่งนั้นก็ย่อหย่อนกำลังลงมาก ไม่กล้าหาญที่จักหาญกล้าเข้าต่อสู้กับสยามต่อไป เจ้าสุทธิสาร จึ่งสั่งให้ถอยทัพออกไปชั่วธนูหนึ่ง แลยั้งทัพอยู่นิ่งชั่วสามยามกึ่ง เหนว่าไม่สามารถสู้รบกับครัวสยามเมืองราชสีมา ที่หาญกล้าได้อีก ต่อไป จึ่งล่าทัพกลับไปแจ้งความกับเจ้าอนุผู้บิดาว่า
“ครัวสยามสู้รบแข็งแรงหนักหนา เหนมีรี้พลมากเกินกว่าเมื่อเรากวาดต้อนขึ้นไปนั้น ชรอย ว่าจักมีกำลังทหารจากเมืองอื่นมาเสริมช่วย ฤๅ จักเป็นกองทัพเจ้าพระยานครราชสีมา ยกมาเพิ่มเติมเป็นมั่นคงผู้คนจึ่งมีมากมายนัก”
ครัวสยามจากเมืองรายทางทั้งหลายที่ถูกพลลาวกวาดต้อน มีทั้งขุน ทั้งหลวง ทั้งพระ กรมเมือง แลไพร่พลทหาร จากที่กระจัดกระจาย รู้ครัวสยามเมืองราชสีมารบชำนะอ้ายลาว ก็เรียกรวมกันได้ประมาณสักสองหมื่น พากันปักค่ายมั่นที่ทุ่งล้ำพี้ เพื่อต้านทัพลาว แลพร้อมกันยกให้พระณรงค์สงครามเป็นหัวหน้านำออกความคิด ความอ่านการศึกลาว
ฝ่ายเจ้าอนุ เหนทัพลาวพ่ายแพ้แตกหนีกลับมา ก็เคียดแค้นครัวสยามเมืองนคร ราชสีมา ที่คุมกันเป็นไส้ศึก ไล่ฆ่าพวกลาว ในกองทัพที่ควบคุมครัวไปนั้นตายพันเศษ ที่เหลือแตกหนีตายมาได้ ๒๗๒ คน มาแจ้งความให้เจ้าอนุรู้ เหตุดั่งนี้แล้วเจ้าอนุจึ่งโกรธ นายทัพนายกองที่คุมครัวสยามเมืองราชสีมาไปนั้น กระทำการประมาทเหนแก่ตัณหาสตรีกระทำการประมาทให้เสียท่วงทีแก่ข้าศึกสยาม จึ่งให้ทหารพาพวกนายไพร่ลาวที่แตกหนีมาจากทุ่งสัมฤทธิ์ นั้นรวมสิ้นสองร้อยเจ็ดสิบสองคน ไปฆ่าเสียให้หมดตามอัยการศึก เจ้าสุทธิ สารทูลขอชีวิตไพร่พลทั้งสองร้อยเจ็ดสิบสองคนนั้นไว้ ให้ทำการแก้ตัวใหม่ เจ้าอนุยอมให้ชีวิตแก่พวกไพร่ที่แตกมา แต่ตัวนายทัพนาย กอง ๒๗ คนไม่ยอมให้ จึ่งสั่งให้ทหารนำนายทัพทั้ง ๒๗ คนนั้นไปฆ่าเสียทั้งสิ้นแล้วสั่งให้จัดทัพใหม่ กลับไปกวาด ล้างครัวสยาม เมืองราชสีมาเสียให้สิ้นทราก โดยให้จัดทัพเพิ่มเติมไปอีกมากเถิงหมื่นสี่พัน โดย
ให้ พระยาสิทธิเดโช เป็นแม่ทัพหน้า
ให้ เจ้าโอ เป็นแม่ทัพหลวง
ให้ พระยาสงครามเวียงไชย แม่ทัพหนุน
รวมกำลังทั้งสามทัพมีรี้พลทั้งสิ้นหมื่นเศษ ปืนใหญ่น้อย แลศาตราวุธครบทุกนายส่วน
ทัพเจ้าอนุ จัดป็นทัพใหญ่เดิรทัพอ้อมไปทางดอนมดแดง ใกล้ทางป่าแขวงเพชรบูรณ์
ฝ่ายทัพของพระยาสิทธิเดโชแลเจ้าโอ พระยาสงครามเวียงไชย ทั้งสามทัพเมื่อจัดทัพเสร็จก็รีบยกออกไปเถิงตำบล ทุ่งล้ำพี้ ใกล้หนองบัวลำพู ตัดไม้ตั้งค่ายที่นั่นยังไม่ทันแล้ว
ทหารแมวเซาของพระณรงค์สงครามซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งล้ำพี้ก่อนแล้ว เหนกองทัพลาวยกมากำลังตั้งค่าย จึ่งรีบนำ ความเข้าไปบอกแก่พระณรงค์สงคราม ๆ จึ่งให้รีบจัดทัพ แลวางแม่ทัพตามอัตราเดิมเป็นสามทัพคือ
ทัพพระยาปลัดทัพ๑ ทัพท่านผู้หญิงโม้ทัพ๑ ทัพพระณรงค์สงครามทัพ๑
แล้วจึ่งนำพลออกจากค่าย ไล่โจมตีตัดกำลังศึกพวกลาว กองทัพลาวยังไม่ทันจักตั้งตัวมั่นเมื่อถูกสยามโจมตีก็หันหน้าสู้ รบกันลั่นทุ่งเถิง ขั้นตะลุมบอน ตั้งแต่สามโมงเช้าเถิงเที่ยง ไพร่พลทหารซึ่งเพิ่งเดิรทางมาเถิงยังมิได้พัก ก็อิดโรยเหนื่อยแรงหย่อนกำลัง ถูกครัวสยามเมือง นครราชสีมาฆ่าล้มตายเสียเป็นอันมาก
เจ้าโอ แม่ทัพลาวเหนทหารของตนล้มตายดั่งใบไม่ร่วงลงน้ำ จึ่งสั่งให้ล่าถอยขึ้นไปตั้งค่ายมั่นรับสยามอยู่ที่เชิงเขาน้ำพุ ไกลจากทุ่งล้ำพี้ทาง ๒ คืน ๒ วัน
…ยังมีต่อ