คุกจำลอง Stanford ตอนที่ 2
การทดลองเริ่มขึ้นอย่างแท้จริงเมื่ออาสาสมัครที่รับบทเป็นนักโทษถูกบุกเข้าไปจับกุมตัวถึงบ้านในข้อหาปล้นอาวุธและลักทรัพย์ โดยการจับกุมครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจจริง การจับกุม การถูกค้นตัว การสอบประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายรูปผู้ต้องหา ขึ้นทะเบียนนักโทษ และส่งตัวเข้าเรือนจำทุกอย่างทำตามขั้นตอนของจริงที่ผู้ต้องหาทุกคนพึงเจอ ทั้งนี้เพื่อให้ทุกอย่างสมจริงมากที่สุด การดำเนินการขั้นต้นนี้จึงไม่มีการแจ้งล่วงหน้าแก่ตัวอาสาสมัครที่เป็นนักโทษแต่อย่างใด
เมื่อการสอบสวนและแจ้งข้อหาเบื้องต้นเสร็จ อาสาสมัครทุกคนจะถูกผูกตาและนำตัวมาที่คุกจำลองทีละคน ผู้ต้อนรับคือเหล่าผู้คุมอาสาสมัครทั้งหลายในยูนิฟอร์มเหมือนจริง เมื่อมาถึงแล้วพวกเขาทุกคนจะถูกค้นตัว ทำการฆ่าเชื้อตามกระบวนการทางเรือนจำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักโทษแบบสวม (คล้ายขุดนอนผู้หญิง) พร้อมหมวกนักโทษ และที่อยู่นั้น นักโทษ 3 คนจะอยู่รวมกันในห้องขังขนาดเล็กและจะต้องอยู่ในการทดลองทั้งวันทั้งคืน ส่วนอาสาสมัครที่รับบทเป็นผู้คุมนั้นจะอยู่กันเป็นกะ และหากไม่ใช่กะของตนก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่คุกจำลองก็ได้
วันแรกของการทดลองนั้น ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ Zimbardo ถึงกับพูดว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อเลยทีเดียวสำหรับวันแรก โดยเฉพาะพวกผู้คุมอาสาสมัครที่ไม่ค่อยจะเข้าถึงบทบาทเท่าไหร่ เขานึกว่าอาจจะต้องยกเลิกโครงการนี้เลยทีเดียว นอกจากการเรียกขานชื่อนักโทษตามเลขประจำตัวที่ดูเหมือนว่าจะทำให้พวกนักโทษอาสาสมัครรู้สึกหงุดหงิดขึ้นนิดๆก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นัก ทว่าวันที่ 2 นักโทษบางคนเริ่มทำการขัดขืน โดยนักโทษจากห้องคุมขังแรกได้เอาเตียงของพวกตนมาขวางกั้นที่ประตูไว้และถอดหมวกนักโทษของตัวเองออก เริ่มมีการพูดจาเยาะเย้ยถากถางเหล่าผู้คุมซึ่งอยู่ภายนอก และเมื่อถูกสั่งให้ออกมา พวกเขาก็ปฎิเสธอย่างรุนแรงที่จะทำตามคำสั่งของผู้คุม
ในบันทึกของ Zimbardo มีผู้คุมบางคนเริ่มเครียดและถามทีมนักวิจัยว่าพวกเขาควรจัดการอย่างไร คำตอบที่พวกเขาได้คือ คนพวกนี้เป็นนักโทษที่พวกเขาต้องควบคุม ในเมื่อคุมไม่ได้แล้วเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็ต้องหาทางแก้ปัญหาเอง ดังนั้นบรรยากาศจึงเปลี่ยนไปทันที เหล่าผู้คุมเริ่มรู้สึกขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว ว่าแรงต่อต้านเหล่านี้หมายถึงนักโทษพวกนี้ชักจะอันตรายขึ้นมาจริงๆ ณ จุดนั้นมันจึงไม่ใช่แค่การทดลองอีกต่อไป
ผู้คุมจากกะอื่นที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ก็อยู่ต่อเพื่อจะช่วยกันกำราบพวกนักโทษกบฎ พวกเขาใช้กำลังบุกเข้าไปลากตัวนักโทษออกมาจากห้องขัง จับแก้ผ้า จับพวกคนนำการต่อต้านนี้ไปขังในที่ที่พวกเขาเรียกว่า Solitary Confinement (ในที่นี้เป็นพวกตู้เก็บของ) และสั่งให้ลุกนั่งหรือทำโทษบางอย่างที่จะทำให้เหล่านักโทษพวกนั้นรู้สึกอาย เอาถังดับเพลิงมาฉีดใส่ บังคับให้นักโทษพูดรหัสตัวเองซ้ำๆเพื่อให้พวกเขาสำนึกถึงฐานะของตัวเอง และหากนักโทษคนไหนพูดรหัสผิดก็จะจับทำโทษทันที ในวันนั้นมีนักโทษคนหนึ่งทนไม่ได้จนต้องขอออกจากการทดลองครั้งนี้ทันที (ซึ่งหากมีใครถอนตัว ทางทีมวิจัยจะหาคนมาแทน) อีกวิธีมาตราฐานอีกวิธีหนึ่งที่ผู้คุมใช้เพื่อทรมานนักโทษคือการทำให้พวกเขาไม่ได้นอน ยึดฟูกนอน เนื่องจากนักโทษจะมีแค่สิ่งนี้เท่านั้นในห้องขังของตนเอง ถ้าหากใครทำผิด ฟูกนอนก็จะถูกยึดและจำต้องนอนบนพื้นคอนกรีตไป
วันที่ 3 พวกผู้คุมใช้ห้องขังที่ 3 เป็นห้องขังพิเศษสำหรับนักโทษที่ไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวาย ซึ่งนักโทษในห้องนี้จะได้ทานอาหารที่ดีกว่า ได้รับฟูกนอนคืน และไม่ต้องทำงานหนักเท่านักโทษคนอื่น การแบ่งระดับเกิดขึ้นพร้อมกับข่าวลือว่าอดีตนักโทษที่ออกไปในวันที่สองจะบุกเข้ามาชิงตัวนักโทษซึ่งอาจเกิดเหตุรุนแรง จึงทำให้สถานการณ์ในกลุ่มผู้คุมยิ่งตึงเครียดเข้าไปใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในเรื่องของความสะอาดในคุกจำลองก็แย่ลงเรื่อยๆ เนื่องจากผู้คุมไม่อนุญาตให้นักโทษออกมาทำธุระส่วนตัว ไม่ว่าจะหนักเบา พวกเขาต้องทำกันในถังที่ผู้คุมให้ไว้ในห้องขังเท่านั้น และหากมีใครทำอะไรผิดหรือทำให้ผู้คุมไม่พอใจขึ้นมา ถังของเสียเหล่านั้นจะถูกห้ามให้นำออกมาเททิ้งโดยเด็ดขาด รวมถึงให้ทำความสะอาดส้วมและภาชนะต่างๆด้วยมือเปล่า
นักโทษอาสาสมัครทั้งหลายเมื่อเจอการทำโทษที่ลดเกียรติของความเป็นมนุษย์เข้าบ่อยๆ หลายๆคนก็เริ่มก้มหน้ารับชะตากรรมและไม่ขัดขืนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำโทษไปโดยปริยาย ทั้งนี้การที่การกระทำของนักโทษคนหนึ่งนั้นมักจะทำให้ที่เหลือโดนไปด้วยตลอด หนึ่งในนักโทษที่ทำให้เพื่อนร่วมห้องขังถูกทำโทษด้วยบ่อยจนถูกเพื่อนนักโทษด้วยกันเองประนามนั้นคือ Stu Levin นักโทษหมายเลข 819 เขาถูกประนามอย่างรุนแรงจนถึงกับ breakdown เลยทีเดียว แม้ทีมนักวิจัยจะนำเขาออกมาแล้วยอมให้เขาออกจากการทดลอง ตัว Levin เองกลับปฎิเสธและอยากจะกลับไปพิสูจน์ตัวเองว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงกระนั้นทางทีมก็สามารถทำให้เขาเข้าใจและกลับบ้านได้ คนที่มาแทน Levin คือ Clay Ramsey เขายังจำได้ถึงความประหลาดใจในครั้งแรกที่เข้าไปแทน Levin เพราะพบว่าทุกคนดูจะคิดจริงๆว่าพวกเขาเป็นนักโทษและผู้คุม นักโทษหลายๆคนก้มหน้ารับคำสั่งและคำปรามาสร้ายแรงราวกับมันเป็นเรื่องที่เขาสมควรเจออยู่แล้ว
ส่วนทางด้านอาสาสมัครผู้คุมนั้น Dave Eshleman ได้เล่าไว้ว่า อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าพวกเขาจะลืมไปสิ้นว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ยอมรับว่าหลายๆอย่าง ณ ตอนนั้นก็เกินควบคุมของทุกฝ่าย เขาทำตามสิ่งที่เขาได้รับมอบหมายและคิดว่าถ้าหากมีอะไรที่มากเกินไปก็คงมีคนมาบอกให้พวกเขาหยุดไปเอง ซึ่งตอนนั้นเขาก็คิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำคงไม่ร้ายแรงถึงขนาดต้องมีคนมาหยุดพวกเขา ซึ่งผู้คุมสองสามคนก็แสดงให้ทีมนักวิจัยเห็นว่าเริ่มจะทวีโหดเหี้ยมต่อนักโทษขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้จากการบันทึกภาพและการเฝ้าดูของเหล่าทีมวิจัยผ่านกล้องวีดีโอแล้วก็ทำให้เห็นว่า ในกลางดึก ผู้คุมบางคนจะฉวยโอกาสทำร้ายร่างกายนักโทษเพราะคิดว่าไม่ได้ถูกเฝ้ามองอยู่ อีกทั้งตามรายงานการวิจัยยังระบุอีกว่า หนึ่งในสามของบรรดาผู้คุมนั้นเริ่มมีพฤติกรรมชอบความรุนแรงและพึงพอใจที่จะกระทำอย่างชัดเจน และเมื่อการทดลองถูกยกเลิก หลายคนก็ดูจะไม่พอใจเท่าไหร่อีกด้วย (อารมณ์อยากทำต่อ)
เมื่อเข้าสู่วันที่ 5 ทุกอย่างดูจะแย่ลงเรื่อยๆ นักโทษส่วนใหญ่ดูจำยอมต่อคำสั่งทุกอย่างของผู้คุมไปแล้ว พวกต่อต้านยังคงมีแต่เป็นส่วนน้อยมาก Ramsey รู้สึกว่าการบังคับต่างๆนานามันมากเกินที่เขาจะรับไหว คนพวกนี้ไร้ซึ่งเหตุผลไปซะแล้ว เขาจึงประท้วงด้วยการอดอาหารด้วยความคิดที่ว่า ถ้าอดหารจนดูป่วย เขาคงจะถูกปล่อยไปเอง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันควรจะเป็นการกระทำที่จุดประกายให้นักโทษคนอื่นทำตาม ทว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเขาต่อต้านที่จะกินอาหาร ผู้คุมจึงเทอาหารใส่เขา นักโทษในห้องเดียวกับเขาถูกงดอาหารไปด้วยทำให้เกิดการแตกคอกัน พอถึงช่วงมื้อเย็นของวันนั้น นักโทษในห้องเดียวกับ Ramsey เริ่มด่าเค้าด้วยถ้อยคำรุนแรง เมื่อเขาไม่ตอบโต้และยังยืนกรานที่จะไม่กินอะไรต่อไป ผุ้คุ้มจึงนำตัวเขาไปขังไว้ในตู้เก็บของภารโรง บังคับให้เขาถือไส้กรอกสองชิ้นและ “make love to his sausages.”
ณ จุดนี้นักโทษหลายคนเริ่มสติหลุดและบางรายถูกส่งกลับบ้านทันที ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผู้คุมรู้สึกนึกคิดถึงสิ่งที่ตนกระทำแต่อย่างใด ถ้อยคำดูถูกล่วงเกินและคำสั่งน่าอับอายเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศเริ่มรุนแรงขึ้น ผู้คุมเริ่มสร้างความแตกแยกในหมู่นักโทษ ทำให้ทุกอย่างตึงเครียด นักโทษเริ่มโกรธแค้นกันและกันเพราะการกระทำของอีกฝ่ายทำให้ตนตกที่นั่งลำบากไปด้วย เมื่อพวกเขาแตกคอกัน ไร้ซึ่งความเป็นเอกภาพ โอกาสที่นักโทษจะรวมหัวกันต่อต้านผู้คุมก็เกิดได้ยากขึ้นไปอีก
ก่อนจะจบวันที่ 5 Zimbardo ได้เชิญ Christina Maslach อดีตนักศึกษาระดับปริญญาเอกด้านจิตวิทยาที่เขาเคยสอนและศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียมาร่วมทานอาหารเย็นด้วยกัน (ภายหลังเขาทั้งสองแต่งงานกัน) เธอไม่ค่อยรู้ถึงรายละเอียดการวิจัยนี้เท่าไหร่นัก แต่วางแผนไว้ว่าจะสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมและทีมวิจัยนี้ เธอใช้เวลาทำงานและหาข้อมูลนานกว่าที่คิดจึงลงมาหา Zimbardo ช้ามากในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ซึ่งกำลังเป็นช่วง “Toilet Run” ในคุกจำลอง เป็นกิจกรรมที่ผู้คุมอนุญาตให้นักโทษเข้าห้องน้ำได้ แต่ที่แย่คือผู้คุมจะให้นักโทษสวมถุงกระดาษไว้เพื่อไม่ให้ทราบว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของคุกจำลองและล่ามพวกเขาเข้าด้วยกัน ก่อนจะปล่อยให้วิ่งหาทางกันเอาเองในเวลาที่จำกัด โดยผู้คุมจะคอยตะโกนใส่ตลอดเวลา สำหรับ Zimbardo แล้ว การกระทำพวกนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิจัยที่ต้องบันทึกเอาไว้ มันเป็นการทดลองที่กำลังไปได้ดี ทว่า Maslach ไม่ได้คิดเช่นนั้น
เมื่อ Zimbardo ชวนเธอดูความประพฤติอันน่าตกใจของเหล่าอาสาสมัครที่กำลังเกิดขึ้น Maslach เมินหนีพร้อมน้ำตาในตาของเธอ ก่อนจะบอกว่า เธอทนดูไม่ได้และวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น Zimbardo ที่ไม่ค่อยจะพอใจเรื่องที่เธอดูจะไม่เห็นค่าของการทดลองนี้ตามเธอไป ทั้งคู่เถียงกันอยู่สักพักก่อนที่ Maslach จะพูดบางอย่างที่ทำให้ Zimbardo รู้ตัวว่าการทดลองนี้จำต้องหยุดลงได้แล้ว
“เด็กพวกนั้นไม่ใช่นักโทษ ไม่ใช่ผู้คุม พวกเขาเป็นแค่เด็กผู้ชาย คุณ (Zimbardo) ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา … คุณไม่เห็นในสิ่งที่ฉันเห็นได้ยังไง ฉันเคยคิดมาตลอดว่าคุณเป็นคนอบอุ่นน่ารัก แต่ถ้าเกิดนี่เป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณล่ะก็ ฉันไม่คิดว่าเราจะไปด้วยกันได้”
ในที่สุด การทดลองนี้ก็ต้องหยุดในวันที่ 6 ของการทดลองจากที่ตอนแรกที่จะกินระยะเวลาสองอาทิตย์
(มีต่อ…)
ที่มา: https://www.facebook.com/madworldTH/posts/665488453495622:0