พระอาทิตย์
เด็กชายตาบอดผู้อยากรู้อยากเห็นถามกับเด็กชายตาดีคนหนึ่ง “พระอาทิตย์มันเป็นอย่างไร”
เด็กชายตาดีเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ มองเสร็จก็หันมองหาสิ่งของแถวนั้น แล้วก็เดินไปหยิบถาดทองเหลืองที่วางพิงอยู่ข้างโต๊ะ ค่าที่เห็นว่ามันมีรูปร่างกลมเหมือนกัน
“ดวงอาทิตย์เป็นอย่างนี้” พูดพลางยื่นถาดมาข้างหน้าเด็กชายตาบอด
เด็กชายตาบอด ยื่นมือมาจับถาดทองเหลืองแล้วก็เอานิ้วเคาะเบาๆ เขานึกในใจ พระอาทิตย์มีเสียงไพเราะกังวานนั่นเอง
วันหนึ่งระหว่างที่นั่งอยู่หน้าบ้าน รถขายไอศกรีมคันหนึ่งผ่านมา คนขายไอศกรีมดีดกระดิ่งเรียกลูกค้าทันที เด็กชายตาบอดหันตามเสียง “เสียงพระอาทิตย์นี่”
เด็กชายร้องถาม “ลุงขายพระอาทิตย์หรือ”
“เปล่า… ลุงขายไอติม” คนขายตอบ
“แล้วทำไมลุงมีเสียงพระอาทิตย์”
“ที่ไหนกัน …นี่มันเสียงกระดิ่ง” ว่าแล้วคนขายไอศกรีมก็ดีดกระดิ่งอีกครั้ง
“แล้วพระอาทิตย์มันเป็นอย่างไร” เด็กชายตาบอดถาม
คนขายไอศกรีมมองขึ้นไปบนฟ้า เขาต้องรีบหรี่ตาหลบแสงจ้า จากนั้นจึงล้วงเข้าไปในลิ้นชัก หยิบไฟฉายกระบอกเล็กออกมา เขาเปิดสวิทช์ให้ไฟสว่าง แล้วก็ส่งให้เด็กชายตาบอด
เด็กชายตาบอดรับไฟฉายมาลูบคลำ พลางพยักหน้าเข้าใจ
คืนนั้น ญาติพี่น้องของเด็กชายตาบอดมารวมตัวที่บ้านของเด็กชายตาบอด ด้วยวันรุ่งขึ้นเป็นวันทำบุญรวมญาติ เด็กหญิงผู้เป็นญาติห่างๆคนหนึ่งนำเครื่องดนตรีมาเล่น เธอเล่นทั้งขิมและขลุ่ยอย่างสนุกสนาน เด็กชายตาบอดนั่งฟังแล้วก็เอามือลูบคลำเครื่องดนตรี ตอนที่เขาลูบคลำขลุ่ย สีหน้าของเขาดูประหลาดใจจนเด็กหญิงต้องออกปากถาม “เป็นอะไรหรือ”
“เธอมีพระอาทิตย์ด้วยหรือ เสียงมันเป็นอย่างนี้เองหรือ” เด็กชายตาบอดส่งขลุ่ยคืนให้เด็กหญิง
“เธอเล่นมันอีกสิ ฉันอยากฟังเสียงพระอาทิตย์”
เด็กหญิงรีบอธิบาย “เธอเข้าใจผิดแล้ว ที่เธอถืออยู่มันคือขลุ่ย มันไม่ใช่พระอาทิตย์”
“แล้วพระอาทิตย์มันมีเสียงอย่างไรกันแน่” เด็กชายตาบอดถามต่อ
“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าพระอาทิตย์มีเสียงอย่างไร” เด็กหญิงนึกหาวิธีอธิบาย “เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปเจออะไรที่มันคล้ายพระอาทิตย์ที่สุด”
พูดจบเด็กหญิงก็พาเด็กชายเข้าไปในครัวด้วยความตั้งใจจะให้ญาติตาบอดของเธอได้สัมผัสกับความร้อนจากเตาไฟ โชคดีที่ในครัววันนี้มีการทำอาหารมากมายเพื่อเลี้ยงญาติ เตาในครัวจึงถูกติดถึงสองเตา
“พระอาทิตย์มันร้อนอย่างนี้” เด็กหญิงบอกตอนที่ดันเด็กชายเข้าไปใกล้ๆเตาไฟ
เด็กชายตาบอดพยักหน้า และก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปใกล้เตากว่านี้ ก็พอดีแม่ครัวมารีบไล่เด็กๆออกจากครัวไป
วันรุ่งขึ้น
หลังจากที่พระฉันเพลแล้ว ญาติโยมก็เริ่มตั้งวงกินข้าว อาหารหลากหลายจากฝีมือญาติๆถูกปากเด็กชาย รวมไปถึงต้มยำกุ้งรสจัด ขึ้นชื่อว่าต้มยำกุ้ง หากพริกข่าตะไคร้ถึงเครื่องและได้กินตอนร้อนๆ ไม่ว่าใครที่ไหนก็ต้องกินไปด้วยเหงื่อชุ่มไปด้วย เด็กชายตาบอดก็เช่นกัน
“พระอาทิตย์มันอร่อยอย่างนี้เอง” เขาพูดพลางเช็ดเหงื่อ
เดือดร้อนไปถึงญาติพี่น้องต้องอธิบายว่า พระอาทิตย์ไม่ใช่ของกิน แต่ยิ่งอธิบายเด็กชายตาบอดก็ยิ่งสับสน
หลังจากพระสวดยถาฯ กรวดน้ำให้พร เรียบร้อย เด็กชายตาบอดก็มานั่งต่อหน้าหลวงปู่ด้วยความสงสัย
“หลวงปู่ครับ ผมอยากรู้ว่าพระอาทิตย์มันเป็นอย่างไรครับ”
หลวงปู่ฟังคำถามอย่างงงๆ เด็กชายจึงเล่าเรื่องพระอาทิตย์เหมือนถาด เหมือนกระดิ่ง ไฟฉาย ขลุ่ย เตาไฟ และต้มยำกุ้งให้หลวงปู่ฟัง
หลวงปู่ฟังไปแล้วก็ยิ้มน้อยๆ
“เจ้าหนู” หลวงปู่มองไปที่ดวงตาที่บอดของเด็กชาย แม้เขาจะมีดวงตาที่มองไม่เห็นแต่ตาดำของเขาก็กลมโตน่ารัก “หลวงปู่จะบอกอะไรให้ เจ้าไม่ต้องไปหาพระอาทิตย์ที่ไหนเลย”
“ทำไมละครับ”
“มันอยู่ในดวงตาของเจ้าไง”
“เพราะตาของเขากลมใช่ไหมคะ หลวงปู่” เด็กหญิงผู้เป็นญาติฉอเลาะถาม
หลวงปู่ส่ายหน้ายิ้มๆ และเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตาเหลือเกิน “คนทุกคนจะเห็นอะไรก็เห็นได้ด้วยตา ซึ่งอันที่จริงก็เป็นดวงตาของแต่ละคนทั้งนั้น พระอาทิตย์จึงเป็นทั้งถาด ทั้งกระดิ่ง ไปจนถึงต้มยำได้”
“ต่อให้มองไม่เห็น เราก็เห็นได้” หลวงปู่ยังคงยิ้มอยู่
เด็กชายไม่พยักหน้าเหมือนครั้งก่อนๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้าใจที่หลวงปู่พูดหรือเปล่า แต่ถึงตอนนี้เขามีพระอาทิตย์ในดวงตาของเขาเองแล้ว
ประภาส ชลศรานนท์
นิทานล้านบรรทัด