พระอัญญาโกณฑัญญะหายไปไหน?

พระอัญญาโกณฑัญญะหายไปไหน?

ทุกคนต่างรู้จักพระอัญญาโกณฑัญญะ โดยทราบว่าท่านเป็นพระภิกษุรูปแรก และเป็นพระรูปแรกที่บรรลุธรรมหลังจากได้ฟังธัมมจักกัปปวัตนสูตร และบทถัดมา แต่ว่าเราไม่ค่อยทราบกันเลยว่าท่านหายไปไหนหลังจากบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว

• อดีตชาติ
ในอดีตกาลสมัยพระพุทธเจ้านาม “ปทุมุตตระ” พระอัญญาโกณฑัญญะได้เกิดเป็นบุตรชายเศรษฐี
วันหนึ่งท่านได้เห็นพระพุทธเจ้าสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งว่า เป็นเลิศด้าน“บรรลุธรรมก่อนใคร ๆ ในพระศาสนา”

ท่านคิดว่า “ภิกษุนี้ยิ่งใหญ่มาก เพราะถ้าไม่นับพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครจะบรรลุธรรมก่อนภิกษุนี้เลย ถ้าตัวเราจะสามารถบรรลุธรรมก่อนใคร ๆ ในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์ใดในอนาคตก็จะเป็นการดีหนอ”

เขาคิดได้แล้วจึงกราบทูลพระพุทธเจ้าขอถวายทาน ๗ วันติดต่อกัน และเอ่ยวาจาตั้งความปรารถนาว่าจะเป็น ภิกษุผู้บรรลุธรรมก่อนใครๆในอนาคต พระพุทธเจ้าปทุมุตตระได้สดับแล้ว ตรัสว่า ความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงในอนาคตกาล ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า“โคตมะ”

• ชาติสุดท้าย
ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ประจำศากยวงศ์ นามว่า “โกณฑัญญะ” ท่านได้รับเลือกเป็นพราหมณ์ทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ทายว่าต่อไปเจ้าชายจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

จากนั้นท่านก็ได้ลาออกจากราชสำนักและไปบวชเป็นฤาษี ต่อมาเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ออกบวช ท่านก็ได้ออกบวชตามพร้อมพวกอีก ๔ คน (เรียกว่า ปัญจวัคคีย์– พวก๕) คอยติดตามปรนนิบัติพระโพธิสัตว์ แต่ภายหลังก็ได้ทิ้งไปเพราะคิดว่าพระองค์ละความเพียรแล้ว จนพระโพธิสัตว์ได้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ได้กลับมาเทศน์สอนปัญจวัคคีย์เป็นพวกแรก และ พระโกณฑัญญะนี้เองก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเป็นบุคคลแรกที่มีดวงตา
เห็นธรรม
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “อญฺญา สิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ – โกณฑัญญะรู้ทั่วแล้วหนอ” ซึ่งทำให้ท่านได้รับชื่อนำหน้าว่า “อัญญา (รู้)” ตั้งแต่นั้นมา ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะ และ มีที่นั่งพิเศษ

ต่อมาขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ท่านได้ยกย่องพระอัญญาโกณฑัญญะว่า “เป็นเลิศ (เอตทัคคะ) ด้านผู้รู้ราตรีนาน(รัตตัญญู)” คือ เป็นเลิศกว่าผู้อื่นด้านบรรลุธรรมก่อนใครๆแต่เนื่องจากท่านบวชเป็นคนแรกท่านจึงมีพรรษาสูงที่สุด ภิกษุทุกรูปจึงต้องทำความเคารพที่นั่งของท่านนั้นก็พิเศษว่าภิกษุอื่น คือได้นั่งใกล้พระพุทธเจ้า โดยที่เวลาพระพุทธประทับพระอัครสาวกจะนั่งเบื้องซ้าย-ขวา และ ข้างหลังอัครสาวกจะเป็นที่นั่งพิเศษเฉพาะของท่าน

• ทูลลาพระพุทธเจ้าไปอยู่ป่า

ท่านอัญญาโกณฑัญญะมีความเห็นว่า การที่ท่านมีพรรษาสูงสุดนั้นได้สร้างความลำบากให้กับหมู่คณะ คือ ทุก ๆ คนต้องทำความเคารพท่าน ไม่เว้นแม้แต่อัครสาวก อีกทั้งท่านมีความยินดีในความวิเวก ไม่ปรารถนาอยู่ใกล้บ้านผู้คน ท่านจึงได้กราบทูลลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษายัง “ริมสระมันทากินี”

ท่านได้อยู่ที่ริมสระมันทากินีนี้ถึง ๑๒ ปี ในป่านี้เป็นที่อยู่ของช้างตระกูล”ฉัททันต์” ๘,๐๐๐ เชือก ในกาลก่อนช้างฝูงนี้เคยปรนนิบัติพระปัจเจกพุทธเจ้า ทำให้ช้างนี้มีความสามารถในการดูแลพระสงฆ์


เมื่อช้างเห็นพระอัญญาโกณฑัญญะเดินทางมา ก็ดีใจที่จะได้ปรนนิบัติพระอีกครั้ง จึงพากันปัดกวาดเช็ดถูที่พัก ทำความสะอาดทางเดินจงกรม เสร็จแล้วพวกช้างก็ประชุมแบ่งเวรความรับผิดชอบ จัดลำดับว่าใครจะต้องเตรียมน้ำบ้วนปากและไม้สีฟันเป็นต้น
สระนี้กว้าง ๕๐ โยชน์ น้ำใสเหมือนผลึกไม่มีสาหร่ายจอกแหน ในสระนั้นมีดอกบัวขาว ถัดจากบัวขาวเป็นดอกบัวแดง โกมุทแดง โกมุทขาว บัวเขียวเป็นต้น รอบๆสระมีดงข้าวสาลี มีไม้เถาเช่น ฟักทอง น้ำเต้า และ ฟัก นอกจากนั้นยังมีดงอ้อย ดงกล้วยดงขนุน ป่าชมพู่ และ ดงมะขวิด
กล่าวโดยย่อคือ ผลไม้ที่ชื่อว่ากินไม่ได้นั้นไม่มี เวลาดอกไม้บาน ลมจะพัดเอาเกสรไปรวมกับหยาดน้ำบนใบบัว เมื่อตะวันขึ้นหยดน้ำก็จะถูกแสงอาทิตย์เผาจนกลายเป็นก้อนเหมือนน้ำตาลเคี่ยว และช้างก็นำก้อนน้ำตาลนี้มาถวายพระเถระ แม้แต่รากบัวกับ เหงาบัวนั้น ช้างก็นำมาถวาย ส่วนเมล็ดบัวนั้นช้างก็ได้ปรุงเมล็ดบัวเข้ากับน้ำตาล
ถวาย ช้างยังได้นำอ้อยวางบนแผ่นหินแล้วใช้เท้าเหยียบจนน้ำหวานไหลออกมาขังเต็มแอ่ง น้ำอ้อยนี้โดนตากแดดจนแห้งกลายเป็นดั่งนมก้อน    ซึ่งนมก้อนนี้ช้างก็นำมาถวาย แม้แต่ผลไม้ต่าง ๆ ในป่าเช่น ขนุน กล้วย มะม่วง ช้างก็นำมาถวาย

• ทราบว่าสิ้นอายุขัย กลับไปทูลลาพระพุทธเจ้า
เช้าวันหนึ่งท่านได้ตรวจและทราบว่า อายุขัยท่านกำลังจะหมดลงแล้วท่านจึงคิดว่า “เราควรนิพพานที่ไหนหนอ … ก็ช้างนี้ได้ดูแลเราถึง ๑๒ ปี เราควรไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อขอนิพพานที่ใกล้ๆช้างนี้”

ว่าแล้วท่านก็เหาะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระวิหารเวฬุวัน ด้วยความที่ท่านไม่ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นเวลานาน ท่านจึงได้หมอบลงแทบพระบาทของพระพุทธเจ้าเอาศีรษะแนบกับพระบาท จูบพระบาททั้งสองด้วยปาก นวดเฟ้นด้วยมือทั้งสองพร้อมทั้งประกาศนามว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ชื่อโกณฑัญญะ”

เหตุที่ท่านต้องประกาศนามนั้น เพราะท่านจากไปนาน คนทั้งหลายจำท่านไม่ได้คนบางจำพวกที่ไม่รู้จัก อาจจะคิดไม่ดีว่าพระแก่นี้เป็นใครกัน ซึ่งจะเป็นบาปแก่คนเหล่านั้น ท่านจึงต้องประกาศนามให้ผู้คนเลื่อมใส จะเป็นเหมือนการปิดทางอบายและ เปิดทางสุคติให้แก่คนทั้งหลายนั้นเอง
ว่าแล้วท่านก็ทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อายุสังขารของข้าพระองค์สิ้นแล้วข้าพระองค์จักนิพพาน”
ตรัสถามว่า “โกณฑัญญะ ท่านจะนิพพานที่ไหน”
กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ช้างทั้งหลายที่เป็นอุปฐากของข้าพระองค์นั้นได้ทำกิจที่ทำได้ยาก ข้าพระองค์จะนิพพานใกล้ๆช้างเหล่านั้น”
พระศาสดาทรงอนุญาต (ด้วยการนิ่ง ไม่ตรัสอนุญาต หรือ ห้าม)
และพระเถระก็ได้ทำประทักษิณและกราบทูลว่า …
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การเห้นครั้งนั้นเป็นการเห็นครั้งแรกของข้าพระองค์ การเห็นครั้งนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย”
ฝูงชนพากันร่ำไห้คร่ำครวญ พระเถระถวายบังคมและได้จากไปยังริมสระน้ำมันทากินีโดยก่อนจาก ท่านได้ให้โอวาทว่า
“ท่านทั้งหลาย อย่าเศร้าโศกเลย อย่าคร่ำครวญเลย จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพุทธสาวก สังขารที่เกิดขึ้นแล้ว ที่จะไม่แตกทำลายนั้นไม่มี”

• หมู่ช้างจัดพิธีศพให้อย่างยิ่งใหญ่
เมื่อถึงที่ริมสระ ท่านเข้าไปยังที่พัก นั่งเข้าผลสมาบัติตลอด ๓ ยามออกจากสมาบัติ ในเวลาใกล้สว่าง และ นิพพาน  ช้างที่เฝ้าเวรอยู่ด้านหน้าไม่รู้ว่าท่านได้นิพพานแล้ว แต่ก็ยังคงเตรียมน้ำบ้วนปาก ไม้สีฟัน และ ผลไม้ รออยู่ที่ท้ายทางจงกรม แต่ว่าไม่เห็น พระเถระออกมาจากที่พักจึงเดินเข้าไปดู  ช้างเขย่าประตูและมองดูก็เห็นว่าท่านกำลังนั่งอยู่ ช้างลองเอางวงเหยียดออกไปลูบคลำดูก็พบว่าท่านไม่หายใจแล้ว
บัดนั้นเอง ช้างก็เอางวงสอดเข้าไปในปากส่งเสียงร้องเสียใจดังลั่นป่า ช้างอื่นๆทั้ง ๘,๐๐๐ เชือก ต่างก็ส่งเสียงร้องเสียใจพร้อมๆกันช้างทั้งหลาย ได้ยกร่างพระเถระขึ้นไว้บนกระพองของหัวหน้าโขลง ต่างเอางวงถือกิ่งไม้ที่มีดอกไม้บานสะพรั่งแห่ร่างของพระเถระไปทั่วทั้งป่าหิมวันต์ และ กลับมาวางยังที่เดิม
ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราช(พระอินทร์)ได้ปรึกษากับวิษณุกรรมเทพบุตร (เทพแห่งการช่าง)ว่า “พ่อ พี่ชายของเรานิพพานแล้ว เราจะกระทำสักการะเธอจงเนรมิตเรือนยอด”
วิษณุกรรมเทพบุตรจึงเนรมิตเรือนยอดอันสวยงามจัดวางร่างพระเถระให้อยู่ในเรือนยอดนั้น
จากนั้นบรรดาช้างก็พากันยกเรือนยอดเวียนรอบป่าอีกครั้ง เหล่าเทวดาก็รับเรือนยอดต่อจากช้าง และค่อย ๆ ส่งต่อไปตามสวรรค์ชั้นต่าง ๆ จนถึงพรหมโลก และค่อย ๆ ส่งเรือนยอดกลับลงมายังช้างอีกครั้ง
ร่างของพระอัญญาโกณฑัญญะได้รับการทำพิธีจนรุ่งอรุ่ณของวันต่อมาเมื่อไฟได้ดับลงแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จมา ท่านได้เนรมิตเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้นมา และบรรจุพระธาตุของท่านอัญญาโกณฑัญญะไว้ในนั้น

Credit : ตรัง สุวรรณศิลป์ | Being Buddhist Blog
อ้างอิง : – ม.มู.มหาสัจจกสูตร ข้อ ๔๒๖, องฺ. อ.๑/๑/๒๔๑, เถร.อ.๓/๔๙๑ ๔๙๕-๖, สํ.อ.๑/๒/๓๓๙-๓๔๔
– อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค วังคีสสังยุต โกณฑัญญสูตรที่ ๙, อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค ๙. – -อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน (๗)
– หนังสือ ๘๐ พระอรหันต์ ฉบับสมบูรณ์ โดย ธรรมสภา

ที่มา: https://pantip.com/topic/36849182

Leave a Reply