สะเดา ยอดสมุนไพรแห่งฤดูหนาว
ฤดูหนาวเวียนมาถึงอีกครั้งแล้ว ได้เวลาที่ “สะเดา” ผักสมุนไพรรสชาติขม ผลิดอกออกใบให้เราได้ลิ้มรสอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์อย่างมากมาย โดยสะเดามีด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่
สะเดาไทย ใบหยักเป็นฟันเลื่อย ปลายของฟันเลื่อยทู่ ปลายใบแหลม แบ่งย่อยได้ 2 ชนิด คือ“สะเดาขม” ยอดอ่อนจะเป็นสีแดง กับ “สะเดามัน” ยอดอ่อนจะเป็นสีขาว โดยสะเดามันจะเป็นที่นิยมเอามาทาน ด้วยความขมไม่มากเท่าสะเดาขม
สะเดาอินเดีย ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ปลายฟันเลื่อยแหลม ปลายใบแหลมเรียวมาก
สะเดาช้าง ใบและลูกใหญ่กว่าสองชนิดแรก ขอบใบเรียบหรือปัดขึ้นลงเล็กน้อย ปลายใบเป็นติ่งแหลม
นอกจากความอร่อยของสะเดาที่นำมาปรุงเมนูต่างๆ อย่าง สะเดาน้ำปลาหวาน กินกับปลาดุกย่างหรือกุ้งนางเผาแล้ว สะเดาอุดมด้วยสารอาหารอย่าง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 และบี 2 เหล็ก เส้นใย โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกหรือเนื้อร้ายโดยไม่มีผลข้างเคียง
นอกจากคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ต้นสะเดายังมีสรรพคุณทางยา ถือเป็นพืชสารพัดประโยชน์ สามารถใช้เป็นสมุนไพรได้ทั้งต้น เช่น ใบช่วยทำให้หลับสบาย บำรุงธาตุ ช่วยเรียกน้ำย่อยทำให้เจริญอาหาร บำรุงโลหิต ช่วยรักษาแผลในช่องปาก ปากมีกลิ่นเหม็น และมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ หรือนำมาตำพอกรักษาโรคผิวหนัง
ก้านใบช่วยแก้ไข้ ร้อนในดับกระหาย ผลช่วยแก้โรคหัวใจ หัวใจเต้น ผิดปกติ น้ำตาลที่ใช้จากการหมักน้ำจากลำต้นใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย เปลือกนำมาต้มแก้ไข้และท้องร่วง ช่วยรักษาโรครำมะนาด เหงือกอักเสบ ระงับอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยแก้กษัย ผอมแห้งแรงน้อย และรากสะเดานำมาต้มประมาณ 10-15 นาที ช่วยรักษาอาการไอมีเสมหะ ช่วยรักษาริดสีดวงในลำไส้ ปวดท้อง ปวดลำไส้ เป็นยาถ่ายพยาธิ
นอกจากนั้นสะเดายังมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำสะเดามาผสมกับน้ำ ฉีดพ่นกำจัดแมลงศัตรูพืชโดยไม่มีสารตกค้างอีกด้วย
ที่มา: สถาบันสอนอาชีพชี้ช่องรวย.com