การทรยศที่โลกไม่ลืม

การทรยศที่โลกไม่ลืม

death-of-caesar

ทรยศ มีความหมายว่าการคิดร้ายต่อผู้มีอุปการะ หักหลัง กบฏ เอาใจออกห่าง ถือว่าเป็นการกระทำที่สังคมรังเกียจมากที่สุด อย่างไรก็ตามตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีหลายคนทรยศต่อผู้มีพระคุณและ ประเทศชาติจนเสียหาย จนถึงขั้นเปลี่ยนประวัติศาสตร์ และนี่คือ 10 การทรยศที่โลกไม่ลืม

 

10. Ephialtes

ใครที่ดูภาพยนตร์ 300 ก็ต้องรู้จักเขาเป็นอย่างดี อีฟิอัลทิสผู้ ทรยศชาติ อย่างที่รู้กันว่าในช่วง 480 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพของเลโอนิดาสที่ 1 ไม่ประสบผลสำเร็จในการต้านกองกำลังขนาดใหญ่ยักษ์ของกษัตริย์เซอร์ซิลที่ 1 เปอร์เซีย แม้จะใช้ยุทธการเอร์มอพเพอะลี ที่ใช้ช่องเขาแคบในกรีซตอนกลางเป็นปราการสุดท้ายในการยันทัพนับ 500,000 นายของฝ่ายเปอร์เซียจนสามารถต้านระยะหนึ่งก็ตาม หากแต่ฝ่ายเปอร์เซียได้มีชายชาวมาเลียนชื่อ”เอพิเทสแห่งทราคิส” (Ephialtes of Trachis) ได้มาเสนอว่าจะพาเซอร์ซิสไปชมพื้นที่ของช่องเขาแห่งนี้โดยแลกกับรางวัล ในขณะที่บางประวัติบอกว่าการทรยศของเอพิเทสมาจากความแค้นต่อชาวสปาร์ต้า มากกว่า เพราะมาเลียนของเอพิเทสนั้นถูกพวกสปาร์ต้ารุกราน
เอ พิเทสพากษัตริย์เปอร์เซียไปชมช่องเขารอบๆและเส้นทางแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รก ไปด้วยพุ่มไม้หนามแต่ว่าสามารถไปทะลุที่หลังค่ายชาวกรีกได้ จนสามารถเอาชนะกองทัพของเลโอนิดาสที่ 1 ในที่สุด อย่างไรก็ตามความหวังทั้งปวงของเอฟิอัลเตสก็ดับวูบลง รางวัลที่เขาควรจะได้จากเปอร์เซียก็มีอันแห้วไปเพราะเปอร์เซียแพ้สงครามใน เวลาต่อมา ตัวเขาเองก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพราะกลัวการแก้แค้นของพวกสปาร์ตาและการถูก ตั้งค่าหัวว่าเป็นผู้ทรยศชาติ สุดท้ายเอฟิอัลเตสถูกอธีนาเดส แห่งทราคิส สังหารในปี 470 ก่อน คริสตกาล การสังหารเอฟิอัลเตสนี้ทำให้อธีนาเดสได้รับการสดุดีจากชาวสปาร์ตา ต่อมาชื่อ”เอพิเทส”นี้ได้ถูกนำมาต่อท้ายกลายมาเป็นคำว่า Ephialtes the tratiorsหรือ”เอพิเทสคนขายชาติ” โดยชื่อของเขาได้กลายมาเป็นคำศัพท์คำนึงทั้งในภาษกรีกและอังกฤษซึ่งมีความหมายเดียวกันคือ nightmare”ฝันร้าย” นั่นเอง

9. Aldrich Hazen Ames

ในช่วงสงครามเย็น ในปี 1985 จู่ๆ เครืองข่ายสายลับอเมริกาฝังตัวในโซเวียตได้หายไปในอัตราที่น่าตกใจ หน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (CIA) รู้ สิ่งผิดปกติดังกล่าว เชื่อเลยว่าองค์กรของเขามีหนอนบ่อนไส้ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ประเทศของเขาอาจล่มจมก็ได้ เพราะสำหรับการข่าวและสายลับถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินชะตากรรมระหว่าง ประเทศในช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะอเมริกาและโซเวียต
ต่อ มาในปี 1991 พวกเขาก็พบหนอนบ่อนไส้ในองค์การ เขาคือ อัลดริช เฮเซน เอมส์เป็นเจ้าหน้าที่ต่อต้านการข่าวกรองและนักวิเคราะห์ของหน่วยสืบราชการ ลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาทำเป็นทรยศต่อประเทศบ้านเกิดด้วยการขายข่าวให้แก่โซเวียตเพื่อแลก เงิน 50,000เหรียญเป็นค่าตอบแทน ซึ่งพวกโซเวียตยินดีจ่ายอย่างง่ายดาย ทำให้เอมส์เป็นคนที่ทำให้สายของซีไอเอ ต้องตกอยู่ในอันตรายมากกว่าสายลับโซเวียตทั้งหมดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา
หลังจากทราบตัวการ ใน ค.ศ. 1994 เอมส์ถูกตัดสินให้มีความผิดในข้อหาเป็นสายลับให้กับสหภาพโซเวียตและรัสเซีย ปัจจุบัน เขายังถูกจำคุกในทันฑสถานสหรัฐอเมริกาอัลเลนวูด ใกล้กับเมืองอัลเลนวูด รัฐเพนซิลเวเนีย และเรื่องของเขาถูกกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ Aldrich Aims: Traitor Within ในปี 1998

8. Akechi Mitsuhide

ใน ยุคเซ็นโกคุ เหล่าไดเมียวของญี่ปุ่นไม่สามัคคีกันและมีการแตกแยก แบ่งก๊กแบ่งเหล่ามากมาย ซึ่งถือว่าเป็นยุคมืดของญี่ปุ่นโดยแท้จริง อย่างไรก็ตามในช่วงแรกของยุคนั้นได้มีขุนพลผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่พลิกโฉม หน้าประวัติศาสตร์นามเขาก็คือโอดะ โนบุนางะที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจสูงสุด เป็นผุ้คุมประเทศที่อยู่ในช่วงระหว่างสงครามอย่างเด็ดขาด
อย่าง ไรก็ตามความฝันที่จะรวมญี่ปุ่นเป็นหนึ่งของโนบุนางะมีอันต้องเป็นหมัน อันเนื่องจากการผันแปรชนิดสะเทือนฟ้าติดที่ส่งกระทบต่อประวัติศาสตร์ทั้งหมด เมื่อโนบุนางะไม่รู้ตัวว่าคนสนิทของเขาได้ทรยศ และคนสนิทที่ว่าก็คือ อาเคจิ มิตสึฮิเดะ (1528-1582)

มิตสึฮิเดะเป็นซามูไรที่มีความสามารถในเวลานั้น ตอนแรกเขาเป็นคนสนิทของโนบุนางะที่เขาไว้ใจ เพราะมีผลงานมากมาย หากแต่ต่อมามีเรื่องผิดใจกัน เนื่องจากถูกโนะบุนะงะทำให้อับอายต่อหน้านายทหารชั้นผู้น้อย ทำให้เขารอโอกาสแก้แค้นตลอดเวลา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1582 เกิด สงครามที่คีวชู โนะบุนะงะจึงส่งกองกำลังทหารจากเกียวโตไปปราบปราม ระหว่างทางมิสึฮิเดะได้ตลบหลังโนบุนางะ นำกำลังทหารของตนเองย้อนกลับตีโอบล้อมโนบุนางะที่วัดฮนโนจิ จากการถูกตลบย้อนหลังด้วยนายทหารคนสนิท ทำให้โนบุนางะโกรธแค้นและด้วยศักดิ์ศรีของเขาจึงยอมทำฮาราคีรี หรือการคว้านท้องตนเองเพื่อไม่ให้ชีวิตของตนต้องถูกผู้อื่นประหาร เป็นการปิดฉากนักรบผู้เป็นตำนานของญี่ปุ่นอย่างสมศักดิ์ศรี ส่วนมิสึฮิเดะก็ถูกลอบสังหารโดย เช่นเดียวกันที่เมืองยะมะซะกิ จากกองกำลังทหารและนักรบซามูไรของตระกูลโอะดะซึ่งนำโดยโทโยโทมิ ฮิเดโยชินายทหารคนสนิทของโนะบุนะงะอีกคน ก่อนจะเป็นผู้รวบรวมประเทศญี่ปุ่นต่อจากโนบุนางะ

7. Julius and Ethel Rosenberg
ch31_08
ในปี 1953 จูเลียส และอิเทล โรเชนเบอร์ก ทั้งคู่เป็นพลเรือนอเมริกันคนแรกที่ดำเนินคดีภายใต้มาตรา 2 ของหน่วยสืบราชการลับ ในข้อหาเกี่ยวข้องกับการแอบเอาความลับของระเบิดปรมาณูให้กับโซเวียตในช่วง สงครามเย็น โดยจูเลียสทำหน้าที่เป็นจัดส่งและนายหน้าสำหรับโซเวียต ส่วนอิเทลล้วงข้อมล (ข้อมูลมาจากพี่ชายของอิเทลที่ทำงานในโครงการแมนฮัตตัน) ผลการตัดสินคือทั้งคู่ ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วย ข้อหาทรยศต่อชาติ ที่ส่งมอบความลับเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ แก่โซเวียตซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าเป็นการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม ทั้งคู่ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 1953 ซึ่งคดีของโรเชนเบอร์กยังคงเป็นคดีหลอกลอนในประวัติศาสตร์อเมริกาและสร้างกระแสหวาดกลัวคอมมิวนิสต์ไปทั่วประเทศ

6. Wang Jingwei
wang_jingwei_1
หวัง จิงเว่ย ได้ถูกจารึกว่าเป็นคนทรยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เขาเกิดในปี 1883 เมื่ออายุ 21 ก็ไปเรียนที่ญี่ปุ่นที่ซึ่งเขาพบซุน ยัด เซ็น นักปฏิวัติจีนที่มีชื่อเสียง ภายใต้อิทธิพลของเซ็นทำให้เขาเข้าร่วมในแผนการต่อต้านรัฐบาล รวมไปถึงความพยายามลอบสังหาร หากแต่ไม่เสร็จ เมื่อแมนจูเรียปกครองกรุงปักกิ่ง
หวังอยู่คุกจนกระทั้งเกิดจลาจลในหวู่ ฮั่นในปี 1911 หลังจากนั้นเขาก็ยังคงเป็นที่ปรึกษาซุน จนถึงกระทั่งมีบทบาทในช่วงซุนขึ้นมีอำนาจในปี 1920 และเมื่อเซ็นเสียชีวิตในปี 1925 หวังที่เป็นทายาทของเขาก็ได้แต่งตั้ง และแย่งชิงอำนาจกับเจียงไคเช็ค ในการเป็นผู้นำพรรคกั๋วหมินตั่ง
เมื่อ หนานจิงถูกญี่ปุ่นรุกรานในปี 1937 หวังเริ่มมองโอกาสในการติดต่อขายชาติของเขากับญี่ปุ่น (บางคนอาจมองว่าหวังซึ่งเป็นผู้นำเวลานั้นตระหนักดีว่าจีนในขณะนั้นอ่อนแอ เกินกว่าจะต้านทานแสนยานุภาพของญี่ปุ่น) เขาสนับสนุนแผนของญี่ปุ่นที่ย่ำยีต่อจีนหลายอย่าง สุดท้ายหวังก็เสียชีวิตก่อนที่เขาจะเป็นพยานความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นโดยกอง กำลังพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้หวังจิง เว่ยจึงเป็นบุคคลที่ทำความเสียจากประวัติจีนและทำให้พรรคกั๋วหมินตั่งอ่อน กำลังลงจนเสียเปรียบพรรคคอมมิวนิสต์ ภายหลังจากสิ้นสุดสงครามได้เพียง 4 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนของเหมาเจ๋อตง ก็ได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นเมื่อวัน ที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ส่วนพรรคกั๋วหมินตั่งต้องถอยร่นไปยังเกาะไต้หวันตราบจนทุกวันนี้

5. Benedict Arnold

การปฏิวัติอเมริกาถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของโลก หากไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่มีประเทศอเมริกาในแผนที่โลกปัจจุบัน สิ่งที่เราพอรู้คืออเมริกันต่อสู้กับอังกฤษเพื่ออิสรภาพ ชาวอเมริกันต่างร่วมใจกันเพื่อต่อสู้อังกฤษ อย่างไรก็ตามยังมีตาม ระหว่างสงครามได้มีชาวอเมริกันคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมทรยศนั่นคือเบนาดิค อาร์โนล (1741-1801) เดิมที่เขาเป็นนายพลของฝ่ายอเมริกันที่มีผลการรบมากมาย จนถูกยกย่องว่าเป็นวีรุบุรุษด้วยซ้ำ หากแต่ต่อมาเขาก็แปรพักตร์เข้าร่วมกับอังกฤษ และได้แต่งตั้งเป็นนายพลจัตวาในกองทัพอังกฤษ พร้อมกับเงินก้อนใหญ่ ทำให้ทหารอเมริกันในขณะนั้นสูญเสียกำลังใจอย่างหนัก เขานำกองทัพอังกฤษจู่โจมเมืองเวอร์จิเนียทำเมืองและเข่นฆ่าเพื่อนร่วมชาติ มากมาย ภายหลังอเมริกาเป็นฝ่ายชนะอังกฤษ เขาให้เขาต้องหนีไปอยู่ลอนดอน
อย่าง ไรก็ตามอังกฤษก็ไม่ปฏิบัติต่อเขาที่ดีนักสาเหตุเพราะไม่ไว้ใจเขาในเมื่อเขา สามารถทรยศแม่ของตนเองได้มีหรือว่าเขาจะไม่ทรยศประเทศอังกฤษ ในปี 18014 เขาเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ปัจจุบันชื่อของเขาได้กลายเป็นคำด่าของชาวอเมริกันที่ใช้ด่าคนที่มีพฤติกรรม ทรยศหรือหักหลัง

4. Vidkun Quisling

Quisling แปลว่า “คนทรยศ” ที่มาของคำนี้มาจากนามสกุลของชายคนนี้ บางที่เขาอาจเป็นคนทรยศที่มีพฤติกรรมที่น่าอับอายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ วิดคุน ควีสลิง เป็นชาวนอร์เวย์ อดีตเคยเป็นนายทหารประจำกองทัพนอร์เวย์และนักการเมืองผู้ตั้งพรรคสังคมนิยมแห่งชาตินอร์เวย์ ซึ่งเป็นพรรคหัวรุนแรงกลุ่มผู้ฝักใฝ่กับพวกนาซี ซึ่งต่อมาควีสลิงได้ยอมขายตัวเองเป็นพวกเดียวกับนาซีเยอรมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการยึดอำนาจจากรัฐบาลในพระปรมาภิไธยพระเจ้าฮอกอนที่ 7 เมื่อ 15 เมษายน 1940 ขณะที่ชาวนอร์เวย์ กำลังต่อสู้เพื่อป้องกันพระราชอาณาจักรจากการรุกรานของกองทัพนาซีอย่างเอา เป็นเอาตาย เพราะนาซีหมายตาประเทศนอร์เวย์ในการช่วงชิงแร่เหล็กไปจากประเทศ
หลัง จากกองทัพนาซีได้ยึดประเทศนอร์เวย์ เขาก็ได้รับแต่งตั้งประธานธิบดีของนาซียึดครองประเทศนอร์เวย์ และดำเนินนโยบายเอาใจนาซีไม่ว่าจะเป็นการขับไล่ชาวยิวให้เข้าค่ายกักกัน และยังบังคับส่งชาวนอร์เวย์ไปตายเพื่อประโยชน์แก่กองทัพนาซี ผลสุดท้ายเวรกรรมตามทัน เมื่อเยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาถูกจับและตัดสินประหารด้วยการยิงเป้าด้วยข้อหาทรยศต่อชาติ เมื่อ 24 ตุลาคม 1945

3. Mir Jafar
surat-Mir Jafar Ali
สมัยก่อนนั้นความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งของอินเดียเป็น สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษที่หลงใหลความอุดมสมบูรณ์ความมั่งคั่งของอินเดีย อังกฤษพยายามทุกอย่างที่จะปกครองอินเดีย และกำลังมองหาชาวอินเดียซะคนที่มีอำนาจมากพอที่จะสามารถทรยศอินเดียและมอบ ประเทศแม่ของตนให้แก่อังกฤษ
คนที่ว่านั้นคือมีร์ จาฟาร์ (1691-1765) ฝ่าย นายธนาคารใหญ่ชาวฮินดูตระกูลเศรษฐ์ ฐานะร่ำรวย หากแต่มีความทะยเอทะยานสูง ละโมบอย่างเป็นตำแหน่งสูงๆปกครองอินเดีย พอดีเวลานั้นอินเดียกำลังมีการสู้รับกับบริษัทอังกฤษ ในช่วงปี 1757 ที่เรียกว่า “สมรภูมิพลาสซี” ซึ่งสงครามดังกล่าวถือว่าเป็นหนึ่งในสงครามที่มีความสำคัญที่สุดในประวัติ ศาสตร์อินเดีย เพราะเป็นการปูพื้นฐานอำนาจอังกฤษในอินเดีย ซึ่ง บริษัทอังกฤษมองเห็นความละโมบของมีร์ จาฟาร์จึงได้เสนอตำแหน่งสูงๆ ให้แก่เขาตอบแทน หากบริษัทขยายที่มั่นในพื้นที่ประเทศออินเดียได้ โดยมีร์ จาฟาร์จะต้องไม่นำทหารมาช่วยสู้รบกับอังกฤษ ซึ่งผลคืออังกฤษสามารถเอาชนะอินเดียได้ในเวลาต่อมา ส่วนมีร์ จาฟาร์ก็ได้เป็นนะวาบปกครองเบงกอลภายใต้รัฐบาลหุ่นเชิดของอังกฤษ หากต่อมามีร์ จาฟาร์ก็ถูกอังกฤษบีบให้สละตำแหน่ง ทำให้เขาเป็นคนทรยศที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศของตนเองมากที่สุด เพราะทำให้อังกฤษปกครองอินเดียนานถึง 200 ปี

2.Marcus Junius Brutus
110321860
มาร์คัส จูเนียส บรูตัส (85 BC — 42 BC) เป็นทหารที่สร้างตนเองจนเข้าส่งวงการเมือง ในช่วงทำสงครามกลางเมืองระหว่างปอมปีย์กับจูเลียส ซีซาร์ ผู้นำแห่งจักรวรรดิโรมัน บรูตัสได้เข้าข้างปอมปีย์ หลังจากปอมปีย์พ่ายแพ้ เขาก็มาขอโทษซีซาร์ ซึ่งซีซาร์ก็ให้อภัยโทษเขา ซ้ำยังให้เขาเป็นบุตรบุญธรรมของจูเลียส ซีซาร์ ทำให้บรูตัสในตอนนั้นเป็นผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีความซื่อสัตย์ที่สุด จนซีซาร์ไว้วางใจมากที่สุด
โรมัน ในขณะนั้นปกครองด้วยระบบสาธารณรัฐ แต่ซีซาร์พยายามจะตั้งระบบกษตริย์ขึ้นมา โดยหวังตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ ซึ่งไม่เป็นที่พอใจของประชาชนและขุนนางทั่วไป จึงมีผู้หวังปิดชีพซีซ่าร์อยู่หลายคน ในตอนท้ายบรูตัสก็ได้เป็นผู้นำเหล่าขุนนางหลายคนของโรมันลอบฆ่าซีซาร์ด้วย มีดในที่ประชุมสภาพ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 44 ก่อนคริสตกาล
และในช่วงที่บรูตัสจ้วงแทงซีซาร์ ประโยคสุดท้ายอมตะของซีซาร์ได้กล่าวถึงบรูตัสว่า “เจ้าก็เอากับเขาด้วยเหรอ บรูตัส?” แสดงให้เห็นว่าซีซาร์นั้นรู้ถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยว่าผู้ทรยศเป็นอย่างไร ทั้งที่ตนอุตส่าห์เมตตา ชุปเลี้ยงและให้อถัยโทษมาแท้ๆ
หลัง จากที่บรูตัสลอบสังหารซีซาร์ เขาก็ได้ข่าวความขัดแย้งระหว่างมาร์ก แอนโทนีกับออคเตเวียนซึ่งเป็นลูกของน้องซีซาร์ เมื่อเขาที่พบว่ากองทัพของทั้งสองฝ่ายไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องกรุงโรมไว้ได้ เขาจึงยกทัพบุกโรม หากแต่มาร์ก แอนโทนีกับออคเตเวียนจับมือกันต่อสู้กับบรูตุสจนเขาพ่ายแพ้และฆ่าตัวตายใน ที่สุด ก็ ต่อมาออกตาเวียนก็ได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิออกัสตัสและปกป้องโรมันจน รุ่งเรืองต่อไป และเรื่องราวของบรูตัสก็ได้เป็นตำนานของทรยศที่มีชื่อเสียงไม่แพ้พฤติกรรมยู ดาสที่มีต่อพระเยซู

1. Judas Iscariot
110338385
นักบุญยูดาส อิสคาริโอท (ไม่แน่ใจว่า สามารถอ่านว่า “จูดาส” ได้หรือเปล่า เพราะหลายที่เขียนแบบนี้) เป็นหนึ่งในสาวก 12 คนของพระเยซูผู้กล่าวว่ามีหน้าที่ถือ “ถุงเงิน” และเป็นผู้ที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ทรยศต่อพระเยซูโดยการบอกทหารประจำพระวิหารว่าใครคือพระเยซูซึ่งเป็นผลให้พระเยซูถูกจับ
ในวันพระกระยาหารค่ำมือสุดท้ายในบ้านหลังหนึ่งในกรุงเยซูซาเล็มพระเยซูเจ้าประกาศอย่างเปิดเผยว่า “ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” ซึ่งคนนั่นก็คือยูดาส สาเหตุที่ยูดาสทรยศต่อพระเยซูนั้นก็มีหลากหลาย เช่นถูกมารครอบงำ หรือมีความโลภ อย่างไรก็ตามลังจากที่ได้เสวยอาหารแล้ว ยูดาสสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้นได้ออกจากบ้านไปเพื่อพาทหารโรมันไปที่ซ่อนของท่านแลกกับรางวัลเพียง 30 เหรียญเงิน ก่อนที่พระเยซูจะถูกจับและทรงถูกนำไปตรึงกางเขนในที่สุด
อย่างไรก็ตามเรื่องราวของยูดาสได้มีหลายคนวิเคราะห์ทฤษฏีใหม่ว่ายูดาสไม่ได้ทรยศต่อพระเยซูตามที่ถูกประวัติศาสตร์กล่าวหา หลายคนเชื่อว่าการที่จูดาสหักหลังพระเยซูนั้น เป็นพระบัญชาของพระเยซูเอง แต่กระนั้นก็มันไม่ได้ช่วยให้เราลบความรู้สึกของเราที่มีแต่ยูดาสได้เลย เพราะยูดาสถูกโลกจารึกว่าเป็นคนทรยศตลอดเวลากว่า 2000 ปีที่ผ่านมา

ที่มา: http://www.ssballthai.in.th

Leave a Reply