…..เมื่อห้าร้อยกว่าปีก่อน อันเป็นรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์แห่งนครพิงค์เชียงใหม่ อาณาจักรล้านนาได้เรืองอำนาจจนขึ้นสู่จุดสูงสุด เป็นที่เลื่องลือไปในบรรดาแว่นแคว้นใหญ่น้อยใกล้เคียง จนแม้กระทั่งมหาอาณาจักรจีนยังได้บันทึกไว้ถึงความเกรียงไกรของล้านนาภายใต้การปกครองของจอมราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนเหนือ พระองค์นี้เอาไว้
“โว เหงียน ยัป” ตำนานวีรบุรุษคนสุดท้ายแห่งเวียดนาม
“อสัญกรรมของ พล.อ.โว เหงียน ยัป ถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ…ท่านได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับประเทศชาติและประชาชน จิตวิญญาณของท่านจะผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับประชาชนชาวเวียดนาม มอบความเข้มแข็งให้กับพวกเขาเพื่อสร้างประเทศให้แข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรือง”
โว เดียน เบียน ลูกชายของ พล.อ.ยัป กล่าวไว้อาลัยผู้เป็นพ่อระหว่างเคลื่อนศพไปฝังท่ามกลางชาวเวียดนามราวสองแสนคนที่ร่วมส่งศพวีรบุรุษสงครามคนสุดท้ายผู้เป็นตำนานเล่าขานไม่มีวันลืมเลือน
พยัคฆ์ทมิฬ สิ้นชาติ: Part II The Tiger Rising
กลับเข้าเรื่องของเรา หลังจากกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬขับไล่ทหารอินเดียออกจากเกาะศรีลังกาสำเร็จแล้ว พวกเขาก็ดำเนินการเข้ายึดครองเมืองจาฟนา ปราบปรามกลุ่มเคลื่อนไหวชาวทมิฬอื่นๆจนหมด ตั้งตัวเป็นตัวแทนของการแบ่งแยกดินแดนทมิฬแต่เพียงผู้เดียว
งานแรกที่กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬทำหลังจากตั้งตัวได้คือการฉีกสัญญาพันธมิตรกับรัฐบาลศรีลังกา (จากกระทู้ก่อน ท่านได้ทราบว่ารัฐบาลศรีลังกาสงบศึกกับพวกพยัคฆ์ทมิฬชั่วคราว และยังส่งอาวุธสนับสนุนเพื่อให้ขับไล่อินเดียออกไป) พวกเขายกพลไปล้อมจังหวัดทางตะวันออกของศรีลังกา สั่งให้ตำรวจของรัฐบาลศรีลังกาวางอาวุธพร้อมทั้งถอนกำลังออกไปจากเมืองให้เร็วที่สุด
ประธานาธิบดีศรีลังกาเวลานั้นคือนายเปรมดัส มีความคิดว่าไหนๆพวกพยัคฆ์ทมิฬก็เคยช่วยกันขับไล่อินเดีย แล้วก็เป็นคนศรีลังกาเหมือนกัน ไม่อยากจะแตกหัก เลยยอมอ่อนข้อให้โดยการสั่งให้พวกตำรวจวางอาวุธและถอนกำลังออกจากเมือง
นายเปรมดัส
พยัคฆ์ทมิฬ สิ้นชาติ: Epilogue “Nothing Ever Ends”
ตำนานยุทธหัตถี
พ.ศ. ๒๑๓๕ หลังจากพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา พระองค์ทรงพิโรธเหล่าทหารที่ตามเสด็จมาอารักขาไม่ทัน คิดว่าเพราะมีใจขลาด ยำเกรงศัตรูยิ่งกว่าพระองค์ จึงจะลงโทษหนัก หากสมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ในยุคนั้นได้ทูลทัดทานว่า ที่ข้าราชการเหล่านี้จะเกรงข้าศึกกว่าพระองค์นั้นเห็นไม่เป็นได้ แต่น่าจะเกิดจากเหตุบันดาลให้เข้าไปมีชัยชนะโดยลำพัง
ด้วยการทำยุทธหัตถีโดยกษัตริย์ต่อกษัตริย์นี้เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยาก หากกษัตริย์ใดกระทำ แม้เป็นฝ่ายแพ้ก็จะมีชื่อเสียงว่าสมชายชาติทหาร หากชนะก็จะมีเกียรติยศเลื่องลือไปทั่ว
พระนเรศวรทำยุทธหัตถี
พยัคฆ์ทมิฬ สิ้นชาติ: Part III Carnage
ปี 2002 ขณะที่ความฝันของการเป็นรัฐโดยชอบธรรมเข้าใกล้ความเป็นจริงที่สุดนั้น ประภาการันทราบดีว่าเขาต้องสลัดภาพลักษณ์ “ผู้ก่อการร้าย” ให้พ้นเสียก่อน จึงจะขึ้นเป็นผู้นำของรัฐเกิดใหม่ได้อย่างสง่างาม
ด้วยเหตุนี้ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ประภาการันจึงได้จัดงานแถลงข่าวขึ้นที่เมืองคิลินอชชิ และเชื้อเชิญสื่อมวลชนจากสำนักข่าวชื่อดังทั่วโลก เช่น BBC, CNN, New York Time มาให้สัมภาษณ์
งานแถลงข่าวของประภาการัน
ในวันนั้น ประภาการันใช้โทนเสียงที่อ่อนลง เขาพูดถึงเรื่องราวการต่อสู้เพื่อกู้ชาติที่กล้าหาญและสวยงาม เขาปฏิเสธการสังหารหมู่ หรือการก่อการร้ายใดๆ เปรียบเทียบมันกับความชั่วร้ายของฝ่ายรัฐบาล และบอกว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นในสงคราม
เหตุการณ์เป็นไปด้วยดีจนกระทั่งมีนักข่าวคนหนึ่งถามว่า “คุณคิดอย่างไรกับการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี ราจีฟ คานธีของอินเดีย?”
พยัคฆ์ทมิฬ สิ้นชาติ: Part I The New Justice
ประเทศศรีลังกา เป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย มีขนาดประมาณ 1 ใน 8 ของประเทศไทยประมาณ มีประชากรราว 20 ล้านคน ร้อยละ 75 เป็นชาวสิงหล ร้อยละ 11 เป็นชาวทมิฬศรีลังกา นอกนั้นเป็นชาวมัวร์ มาเลย์ อินเดีย ชาวยุโรปและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
ท่านอาจจะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในศรีลังกา ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างชาวสิงหลซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ กับชนกลุ่มน้อยชาวทมิฬ โดยกลุ่มกบฏพยัคฆ์ทมิฬต้องการจะตั้งประเทศของพวกตนชื่อว่า “อีแลม” ขึ้นทางตอนเหนือและตะวันออกของประเทศศรีลังกา
เรื่องนี้พึ่งจะจบลงเมื่อมี 2009 โดยฝ่ายรัฐบาลปราบปรามกบฏพยัคฆ์ทมิฬอีแลมจนราบคาบ เป็นการยุติสงครามที่ดำเนินมากว่าสามสิบปี