พยัคฆ์ทมิฬ สิ้นชาติ: Epilogue “Nothing Ever Ends”
ตำนานยุทธหัตถี
พ.ศ. ๒๑๓๕ หลังจากพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา พระองค์ทรงพิโรธเหล่าทหารที่ตามเสด็จมาอารักขาไม่ทัน คิดว่าเพราะมีใจขลาด ยำเกรงศัตรูยิ่งกว่าพระองค์ จึงจะลงโทษหนัก หากสมเด็จพระวันรัตวัดป่าแก้วซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ในยุคนั้นได้ทูลทัดทานว่า ที่ข้าราชการเหล่านี้จะเกรงข้าศึกกว่าพระองค์นั้นเห็นไม่เป็นได้ แต่น่าจะเกิดจากเหตุบันดาลให้เข้าไปมีชัยชนะโดยลำพัง
ด้วยการทำยุทธหัตถีโดยกษัตริย์ต่อกษัตริย์นี้เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยาก หากกษัตริย์ใดกระทำ แม้เป็นฝ่ายแพ้ก็จะมีชื่อเสียงว่าสมชายชาติทหาร หากชนะก็จะมีเกียรติยศเลื่องลือไปทั่ว
พระนเรศวรทำยุทธหัตถี
สมเด็จพระวันรัตยังทูลพระนเรศวรถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ศรีลังกาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘ ว่า “พวกทมิฬมิจฉาทิฎฐิยกกองทัพข้ามมาจากชมพูทวีป มาตีได้เกาะลังกาแล้วครอบครองบ้านเมืองอยู่หลายปี ทุษฐคามนีกุมาร ราชโอรสของ พระเจ้ากากะวรรณดิศ ซึ่งเป็นกษัตริย์สิงหฬพระพุทธศาสนาหนีไปอยู่บนเขา พยายามรวบรวมรี้พลยกไปตีเอาบ้านเมืองคืน ได้รบเอา พระยาเอฬาระทมิฬ ซึ่งครองเมืองลังกา ถึงชนช้างกันตัวต่อตัวที่ชานเมืองอนุราธธานี
ทุษฐคามินีกุมาร มีชัยชนะฆ่า พระยาเอฬาระทมิฬ ตายกับคอช้าง ได้เมืองลังกาคืนจากพวกมิจฉาทิฏฐิ มีพระเกียรติเป็นมหาราชสืบมาในพงศาวดาร เมื่อ พระเจ้าทุษฐคามนี ทำยุทธหัตถมีชัยครั้งนั้น โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ขึ้น ไว้เป็นอนุสรณ์ตรงที่ชนช้างกับ พระยาเอฬาระทมิฬ องค์หนึ่ง แล้วให้สร้างพระมหาสถูปอันมีนามว่า “มริจิวัตรเจดีย์” ขึ้นที่เมืองอนุราธบุรีอีกองค์หนึ่ง เฉลิมพระเกียรติปรากฏสืบมากว่าพันปี
มริจิวัตรเจดีย์ในปัจจุบัน
สมเด็จพระ นเรศวร ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระสถูปเป็นอนุสรณ์ไว้ในทุ่งหนองสาหร่าย ตรงที่ทรงทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาองค์หนึ่ง แล้วทรงสร้างพระมหาสถูปขึ้นไว้ที่วัดป่าแก้ว ขนานนามว่า “ชัยมงคลเจดีย์” อีกองค์หนึ่ง (คือพระเจดีย์พระองค์ใหญ่ที่อยู่ทางฝ่ายตะวันออกทางรถไฟ แลเห็นเมื่อก่อนเข้าเขตพระนครศรีอยุธยา)”
(คัดจาก: พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวร พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
ชัยมงคลเจดีย์ ปีใหม่ที่ผ่านมา
ครับ… ในภาคผนวกนี้ผมอยากพูดถึงตำนานการต่อสู้ระหว่างสิงหล-ทมิฬที่มีการกล่าวถึง และใช้เปรียบเทียบกับสงครามกลางเมืองศรีลังกายุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก
พระเจ้าเอฬาระแห่งราขวงศ์โจฬะคือกษัตริย์ทมิฬคนแรกที่ยกทัพข้ามจากอินเดียมาตีศรีลังกาจนพวกสิงหลต้องอพยพหนีไปทางใต้ พระองค์มีชื่อเสียงว่าเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ โดยหลังจากยึดครองศรีลังกาตอนเหนือได้แล้ว พระองค์ก็ปกครองโดยทศพิธราชธรรม ให้ความยุติธรรมกับคนทุกชาติทุกศาสนา
รูปพระเจ้าเอฬาระ
ตามตำนานกล่าวว่าพระเจ้าเอฬาระแขวนกระดิ่งไว้หน้าวัง หากใครมีเรื่องเดือดร้อนมาสั่นกระดิ่งนี้ พระองค์จะมาตัดสินคดีให้ ครั้งหนึ่งได้มีวัวตัวหนึ่งเดินมาสั่นกระดิ่งส่งเสียงดังไปทั่ว พระเจ้าเอฬาระสงสัย ตรวจสอบจึงพบว่ารถม้าของลูกชายคนเดียวของพระองค์นั้นเผอิญแล่นไปทับลูกวัวตัวหนึ่งตายโดยที่พระองค์ไม่รู้ตัว
เพื่อความยุติธรรมพระเจ้าเอฬาระจึงให้เอารถม้าคันเดียวกันมาแล่นทับเจ้าชายคอขาด พระศิวะทราบถึงคุณธรรมอันยอดเยี่ยมดังกล่าวจึงเสด็จมาชุบทั้งเจ้าชายทั้งวัวคืนชีวิตมา
แต่นั้นพระเจ้าเอฬาระก็ได้ฉายาว่า “มนูนิติโจฬัร” หรือพระมนูแห่งวงศ์โจฬะ (ตามคติอินเดียพระมนูเป็นกษัตริย์โบราณผู้ให้กำเนิดกฎหมายหรือธรรมศาสตร์ และเป็นผู้มีความยุติธรรมมาก ชื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มาจากธรรมศาสตร์ของพระมนูนี้)
วัวกับกระดิ่งของพระเจ้าเอฬาระ
อย่างไรก็ตามพระเจ้าเอฬาระไม่สามารถควบคุมขุนนางได้ทั้งหมด ยังมีขุนนางทมิฬบางคนไปกดขี่ชาวสิงหล ปล้นทำลายวัดที่อนุราธปุระ ทำให้พระสงฆ์ต้องหลบหนีลงใต้มาเป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกันในแคว้นทางใต้ของพวกสิงหลเกิดกษัตริย์ที่เข้มแข็งองค์หนึ่ง ชื่อพระเจ้าทุษฐคามินี (ทุด-สะ-ถะ-คา-มิ-นี)
ตอนเด็กๆที่พระเจ้าทุษฐคามินียังเป็นเจ้าชาย พระองค์มีชื่อว่า “กามินี” เท่านั้น เมื่อพระองค์เห็นพวกพระสงฆ์ถูกข่มเหงหนีมาก็มีใจเจ็บแค้นชาวทมิฬเป็นอันมาก จึงได้ออกผจญภัยเพื่อหาผู้ร่วมอุดมการณ์กู้ชาติ ได้ผู้กล้าหาญที่มีฤทธิ์เดชพิสดารต่างๆกันมาเป็นขุนพลถึงสิบคนเรียกว่า “ทศมหาโยธา” พร้อมกับได้พญากัณฑุละกษัตริย์ของพวกช้างเป็นพาหนะ (นอกจากนั้นระหว่างทางก็ได้สาวงามชื่อ รัณเมนิกา เป็นมเหสีด้วย)
รูปพระเจ้าทุษฐคามินี
ครั้นมีพรรคพวกมากพอ เจ้าชายกามิณีจึงไปทูลขออนุญาตพระบิดาหรือพระเจ้ากากะวรรณดิสว่าอยากยกทัพไปปราบพระเจ้าเอฬาระ
พระเจ้ากากะวรรณดิศตอบเจ้าชายกามินีว่า “เอฬาระมีรี้พลหลายสิบหมื่น มีช้างศึกนับพัน มีแม่ทัพนายกองที่เชี่ยวชาญสมรภูมิเป็นอันมาก เคยรบชนะพวกเราชาวสิงหลครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้บ้านเมืองเราอ่อนแอลง มีทหารเพียงหยิบมือ จะคิดเรื่องกู้ชาติได้อย่างไร?”
เจ้าชายกามินีโกรธพระบิดามาก จึงยื่นเสื้อผ้าผู้หญิงให้แล้วกล่าวหาว่า “พระองค์ช่างขี้ขลาดอะไรอย่างนี้!”
พระเจ้ากากะวรรณดิสพิโรธก็จับเจ้าชายกามิณีล่ามโซ่ไว้ นัยว่าเป็นทางเดียวที่จะป้องกันเจ้าชายจากการเปรี้ยวไปตายโง่ๆ แต่นั้นเจ้าชายกามิณีจึงได้ชื่อว่า ทุษฐคามินี หรือ “กามินีผู้ดื้อรั้น”
อย่างไรก็ตามแท้จริงแล้วพระเจ้ากากะวรรณดิศเพียงต้องการลองใจ โดยขณะที่จับเจ้าชายกามิณีคุมขังไว้ พระเจ้ากากะวรรณดิสก็การทำนุบำรุงเศรษฐกิจ และการกสิกรรมในแคว้นโรหณะจนร่ำรวย เมื่อพระเจ้าทุษฐคามินีขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์มีกำลังมากพอไปสู้กับเอฬาระก็ด้วยเสบียงอาหารและอาวุธที่พระเจ้ากากะวรรณดิสสะสมไว้ให้เป็นสำคัญ
ข้างล่างเป็นภาพทศมหาโยธา วาดเป็นการ์ตูน
คัมภีร์มหาวงศ์ได้กล่าวถึงสงครามระหว่างพระเจ้าเอฬาระและพระเจ้าทุษฐคามินีว่าเป็นไปอย่างรุนแรงเข้มข้น มีการใช้อุบายชิงไหวชิงพริบ มีการใช้กองช้างศึก และอาวุธอย่างเหล็กร้อนและหลุมไฟ มีการปะทะกันระหว่างสุดยอดขุนพลของทั้งสองฝ่ายในการศึกถึงยี่สิบแปดศึก
และในศึกสุดท้าย พระเจ้าเอฬาระซึ่งขี่ยอดช้างมหาปัมปัตก็ทำศึกยุทธหัตถีกับพระเจ้าทุษฐคามินีผู้ขี่พญากัณฑุละ จบลงด้วยการที่พระเจ้าทุษฐคามินีซัดหอกต้องพระเจ้าเอฬาระสิ้นพระชนม์คาคอช้าง ทำให้กองทัพสิงหลได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด
พระเจ้าเอฬาระกระทำยุทธหัตถีกับพระเจ้าทุษฐคามิณี
ภาพเขียนโบราณบอกเล่าเหตุการณ์ยุทธหัตถี
พระเจ้าทุษฐคามินีประกาศว่าแม้เขากับพระเจ้าเอฬาระจะทำศึกกัน แต่ก็เป็นเรื่องของการกู้ชาติบ้านเมืองเท่านั้น โดยส่วนตัวแล้ว เขามีความนับถือพระเจ้าเอฬาระที่ปกครองชาวทมิฬและสิงหลด้วยทศพิธราชธรรม จึงได้ให้จัดงานศพพระเจ้าเอฬาระอย่างสมเกียรติ
จากนั้นพระเจ้าทุษฐคามินีก็ปกครองชาวทมิฬและสิงหลในศรีลังกาด้วยความยุติธรรมเสมอภาคตามอย่างพระเจ้าเอฬาระ ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองสืบมา
ในปัจจุบันพระเจ้าทุษฐคามินีกลายเป็นกษัตริย์ที่มีชาวสิงหลนับถือมากที่สุด ส่วนพระเจ้าเอฬาระก็เป็นกษัตริย์ที่ชาวทมิฬศรีลังกานับถือมากที่สุดเช่นกัน ความนิยมนี้เห็นได้จากการที่กองทัพศรีลังกา มีอยู่กองพลหนึ่งชื่อว่า “กองพลทุษฐคามินี” ส่วนพวกพยัคฆ์ทมิฬนั้นบางทีก็จะเรียกตัวเองว่า “กองทัพของพระเจ้าเอฬาระ” (Ellalan Force) นั่นเอง
ธงที่พระเจ้าทุษฐคามิณีใช้ในสงคราม กลายเป็นแบบของธงชาติศรีลังกาในปัจจุบัน
เรื่องชนชาติและชื่อ
ในกระทู้ก่อนๆมีคนถามว่าคนสิงหลกับคนทมิฬศรีลังกามีหน้าตาแตกต่างกันอย่างไร? คำตอบคือว่าโดยลักษณะพันธุกรรมแล้วแทบไม่แตกต่างกันนะครับ คนทมิฬศรีลังกาอาจจะมีพันธุกรรมเหมือนคนสิงหลมากกว่าคนทมิฬอินเดียเสียอีก เพราะอยู่เกาะเดียวกัน มีการผสมข้ามกันไปมาเป็นเวลานับพันปี
สิ่งที่ทำให้สองเผ่านี้แตกต่างกันคือภาษากับวัฒนธรรมครับ ชาวสิงหลนั้นพูดภาษาตระกูลอินโดอารยัน ส่วนคนทมิฬพูดภาษาตระกูลดราวิเดียน
คล้ายคนไทยในปัจจุบันอาจจะมีลักษณะทางพันธุกรรมใกล้เคียงกับคนเขมรมากกว่าคนสิบสองปันนาเสียอีก แต่ภาษาและวัฒนธรรมนั้นเป็นตัวบอกว่าอะไรคือไทย อะไรคือเขมรครับ
ชาวทมิฬ
ชาวสิงหล
มีบางคนพูดถึงการเปลี่ยนชื่อจากซีลอนเป็นศรีลังกาว่าเป็นการเปลี่ยนให้เหมาะกับชาวสิงหล และเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่คนทมิฬอีกทางหนึ่ง กรณีนี้ผมอยากให้มองว่า ชื่อ “ลังกา” เป็นชื่อที่มีการใช้เรียกเกาะนี้มาตั้งแต่สมัยรามเกียรติ์แล้ว หรือก่อนที่ชาวสิงหลจะล่องเรือมาตั้งรกรากเสียอีก ส่วนชื่อซีลอนเป็นชื่อที่อังกฤษเรียกเพี้ยนไปจากคำว่า “สิงหล”
ดังนั้นการเปลี่ยนชื่อ “ซีลอน” เป็น “ศรีลังกา” จึงเป็นการเปลี่ยนชื่อให้ไม่ติดยึดกับชนชาติ เป็นชื่อที่เหมาะสมกับเกาะที่มีหลากหลายชาติพันธ์เช่นนี้ ถ้ารัฐบาลศรีลังกาอยากตั้งชื่อแบบยกย่องชาติสิงหลจริงๆเขาต้องตั้งชื่อว่า “สิงหลประเทศ” ซึ่งเป็นชื่อเก่าแก่เหมือนกัน
ผมจึงคิดว่ากรณีนี้การต่อต้านการเปลี่ยนชื่อโดยใช้ข้ออ้างทางชนชาตินั้นไม่ถูกต้อง
…แต่คนก็ว่ากันไปนะครับ
สงครามอินเตอร์เน็ต
ต่อไปผมจะยกตัวอย่างเว็บไซต์ที่ผมใช้หาข้อมูลในการเขียนเรื่องนี้นะครับ
tamilnet.คอม
เว็บไซต์ให้ข้อมูลฝ่ายพยัคฆ์ทมิฬที่ดีที่สุด ซึ่งเว็บฝ่ายทมิฬอื่นๆมักจะใช้ที่นี่เป็นแหล่งข้อมูลต้น พวกรูปถ่ายบ้านเมืองอีแลม รูปประภาการันนั่งขาไขว้กับพวกเสือดำแต่ละชุดมาจากที่นี่แทบทั้งนั้นแหละครับ แต่อ่านแล้วบางทีก็หมั่นไส้มันนะครับ พยัคฆ์ทมิฬดีเลิศประเสริฐศรี ท่านผู้นำใจดี ไม่เคยก่อการร้ายอะไรเลยจริงๆให้ดิ้นตาย
defence.แอลเค
อันนี้เว็บกระทรวงกลาโหมศรีลังกา ให้ข้อมูลละเอียดที่สุด แม้แต่เว็บ tamilnet.คอม บางทีก็ใช้เว็บนี้เป็นแหล่งข้อมูลต้น (แล้วเอาไปบิดเบือนต่อตามเรื่อง) แต่ข้อมูลจาก defence.แอลเค ก็ย่อมเอียงกะเทเร่เข้าข้างรัฐบาล มีครั้งหนึ่งฝ่ายเครื่องบินรัฐบาลทิ้งบอร์มพลาดโดนเด็กนักเรียนในเขตพยัคฆ์ทมิฬตายหลายคน มันเขียนว่าพวกที่ตายก็ “ทหารเด็ก” ทั้งนั้นแหละเฉยเลย
ว่าไปการดูสองเว็บนี้บางทีก็เศร้านะครับ อย่างรูปนี้ผมเห็นจากเว็บ tamilnet.คอม
ท่านสังเกตเสือดำหญิงที่นั่งข้างๆท่านผู้นำทางด้านขวาสิครับ เท่าที่ผมดูมา เสือดำพวกนี้กำลังจะไปตาย บางคนก็ทำหน้าเคร่งเครียด แต่เสือหญิงคนนี้ทำหน้าได้แฮปปี้ หลั่ลล้ามาก เหมือนปลื้มว่าได้นั่งข้างดารา
ผมจำได้ว่าแค่หนึ่งหรือสองวันต่อมา ผมเปิดเว็บ defence.แอลเค ดูอีกที ก็มีข่าวว่าการปฏิบัติการของเสือดำชุดนี้ล้มเหลว มีภาพเสือหญิงคนนี้กับพรรคพวกนอนตายในสภาพน่าสมเพช หัวไปทางหนึ่งตัวไปทางหนึ่ง ตอนนั้นผมเศร้ามากเลยครับ…
::: ::: :::
อนึ่งที่ผมตามอ่านเรื่องสงครามการเมืองศรีลังกาตลอดมานั้น ผมไม่ได้อ่านเว็บที่ให้สาระอย่างเดียว เพราะหลายๆครั้งเว็บที่ให้สาระก็บิดเบือนไปเชียร์พยัคฆ์ทมิฬบ้าง เชียร์รัฐบาลศรีลังกาแล้วแต่คนเขียน
ผมจึงชอบเข้าไปอ่านเว็บชาวบ้านที่มีทั้งสองฝ่ายมาด่ากันด้วย
เว็บพวกนี้ก็ไม่เป็นกลางหรอกครับ แต่ในการด่านั้นก็จะมีการยกเหตุผลมาหักล้างกันซึ่งทำให้คนนอกอย่างเราเห็นภาพ นอกจากนั้นยังทำให้ผมรู้เรื่องที่ไม่สามารถอ่านจากเว็บปกติ เช่นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายเคารพพระเจ้าทุษฐคามินี และพระเจ้าเอฬาระมากแค่ไหน ,เรื่อง inside ดินแดนอีแลม, หรือเรื่องข่าวจากเว็บไซต์แต่ละแห่งมันบิดเบือนอย่างไร
โชคดีที่ทั้งคนสิงหลและคนทมิฬต่างใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมาก ทำให้ผมอ่านที่พวกเขาด่ากันเข้าใจ
ต่อไปเป็นตัวอย่างเว็บชาวบ้านนะครับ
tamilnet.ทีวี
อันนี้เป็นเว็บล้อเลียน tamilnet.คอม ครับ จะออกแนวชื่นชมพวกพยัคฆ์ทมิฬแบบเว่อร์ๆฮาๆ (แต่บางครั้งจะหยาบมาก)
ยกตัวอย่างเช่นมีการยิงกันครั้งหนึ่ง ฝ่ายทมิฬยิงทหารสิงหลตายไปสามคน เว็บ tamilnet.คอม จะออกข่าวว่าตอนนี้เรายิงมันตายได้ 10 คนแล้ว! ส่วนเว็บ tamilnet.ทีวี จะด่าว่า tamilnet.คอมนั้นเป็นเว็บปลอมเลียนแบบ ชอบออกข่าวบิดเบือนทำให้ภาพลักษณ์ของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬเสีย จริงๆแล้วเรายิงพวกมันตายไป 10,000 คนต่างหากล่ะ! เนี่ยจะตายทั้งทัพแล้ว
puligal.บลอคสปอต.คอม
อันนี้จะเป็นเว็บฝ่ายทมิฬ ตอนแรกก็ให้ข่าวดีๆ พอตอนใกล้จะแพ้สงครามนี่ผมเห็นเจ้าของเว็บเขาเริ่มเครียด สร้างเรื่องมาหลอกตัวเอง ด่าโน่นด่านี่ ขู่จะฆ่าคนสิงหลที่มาล้อเลียน พอแพ้สงครามเขาก็เริ่มด่าพวกพยัคฆ์ทมิฬ แล้วก็ด่ารัฐบาลว่าโหดร้าย แล้วก็หายไป ดูแล้วหดหู่มากเลยครับ
::: ::: :::
สำหรับข่าวลือที่ดังที่สุดในเน็ตเห็นจะได้แก่ข่าวนี้ครับ
คือหลังจากประภาการันตายก็มีข่าวออกมาในเว็บพวกทมิฬว่าจริงๆแล้วเขายังมีชีวิตอยู่โดยมีภาพดูทีวีถือหนังสือพิมพ์มายืนยัน
…แต่จริงๆแล้วมันเป็นภาพตัดต่อครับ เอามาจากอันนี้
ชะตากรรมกรรมของครอบครัวประภาการัน
ลูกคนโต “ชาร์ล แอนโทนี”
คนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดมาก เขาเป็นทหารในกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ ในช่วงท้ายสงครามนำทหาร 100 คน พยายามตีฝ่าวงล้อมออกไป (พร้อมพกเงินในกระเป๋าไปด้วย 12 ล้านรูปี) แต่ทำไม่สำเร็จ เลยมีจุดจบแบบนี้
ลูกคนที่สอง “ทวารกา”
ทวารกาเรียนจบอังกฤษ และยังได้มาเป็นทหารเสือหญิงคนหนึ่ง เธอเป็นคนเดียวที่ผมไม่รู้ว่าตายหรือเปล่า คือในช่วงปลายสงครามมีรูปนี้ออกมา
แต่มีคนบอกว่าบางทีเหยื่ออาจจะเป็น “อิไสปรียา” นางเอก MV คนที่ผมบอกให้จำหน้าไว้ก็ได้น่ะครับ นอกจากนั้นยังมีข่าวว่าทวารกาและแม่ได้หนีไปยุโรปก่อนสงครามแล้ว
นางเอก MV
MV
ลูกคนที่สาม “พลจันทร์”
พลจันทร์อายุแค่สิบสองปี เป็นคนที่น่าสงสารมาก คือมีแหล่งข่าวไม่เปิดเผยส่งรูปถ่ายให้สื่อ เห็นเป็นภาพพลจันทร์กำลังนั่งกินขนมอยู่
มาอีกรูปเป็นแบบนี้ไปแล้ว
คุณคิดว่าอย่างไรล่ะครับ?
การท่องเที่ยวสงคราม
หลังสงครามที่นำความพังพินาศมาสู่หลายๆอย่าง รัฐบาลศรีลังกาก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาสโดยการเปิดสถานที่สำคัญในดินแดนที่พวกพยัคฆ์ทมิฬเคยปกครองให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สร้างรายได้เป็นอย่างดี
ลูกทัวร์ทุกคนมาดูโปรแกรมทัวร์ของเรากันนะครับ วันนี้เราจะพาท่านไปเยี่ยมชม…
เรือ Farah 3
บังเกอร์ของประภาการัน
ชีวิตส่วนตัวของประภาการันในบังเกอร์
สระว่ายน้ำของประภาการัน
คุกของพวกพยัคฆ์ทมิฬ
แท็งน้ำที่พวกกบฏทำลายก่อนจะทิ้งเมืองคิลินอชชิ
ชายหาดที่เคยเป็น No Fire Zone
อนุสรณ์แห่งชัยชนะ
อีกอนุสรณ์นึง
นอกจากนี้เรายังมีร้านขายของที่ระลึกพร้อมสรรพ
ท่านจะได้พักในโรงแรมชั้นหนึ่ง อยู่ใกล้สถานที่เกิดสงคราม เดินไปถ่ายรูปได้
ฟุตบอลของผู้สิ้นชาติ
ทุกวันนี้เวลาเอ่ยถึงฟุตบอลโลก เรามักจะนึกถึงองค์กร FIFA ที่คอยดูแลจัดการวงการฟุตบอลของประเทศต่างๆ แต่โลกของเรานั้นกว้างใหญ่ครับ มีคนหลายเผ่าที่เคยมีประเทศแล้วถูกทำลายจนสิ้นชาติไป หรือกำลังต่อสู้เรียกร้องแบ่งแยกดินแดนของตัวเองอยู่
คนเหล่านี้ได้มารวมกันและจัดลีกฟุตบอลโลกของตัวเองขึ้น ชื่อว่า VIVA World Cup เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีสำหรับผู้สิ้นชาติทั้งหลาย
VIVA World Cup นี้จัดทุกสองปี ปีที่แล้วจัดที่เคอร์ดิสถานในอิรัก นับเป็นการแข่งขันครั้งที่ห้าแล้วครับ
ชาวทมิฬที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกจริงๆทำการต่อสู้เรียกร้องมาสามสิบปีแล้ว แต่พึ่งจะมาเข้าร่วมฟุตบอล VIVA ปีนี้เป็นปีแรก พวกเขาทำผลงานได้ไม่ดีนักคือแพ้แหลก ชนะเรเทียชาติเดียว ตกไปอยู่อันดับเจ็ด (เรเทียเป็นชาติยุโรปโบราณที่สิ้นไปแล้ว ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน อิตาลี และประเทศแถวนั้น)
งานเปิดตัวด้วยการแสดงพื้นเมืองชาวเคิร์ด
ปีนี้เจ้าภาพชาวเคิร์ดชนะไปตามระเบียบ
พิธีอัญเชิญธง
ตารางแบ่งสาย
ทีมนักฟุตบอล
ตราสโมสร
ทักทายแฟนๆ
เชียร์ขาดใจ
เสื้อบอล
เชียร์ลีดเดอร์ก็มี (ทุกไซส์)
ทั้งนี้ทั้งนั้นผลการแข่งขันไม่สำคัญหรอกครับ สิ่งสำคัญคือการประกาศว่า
“พวกข้ายังมีอยู่!”
เฮ้ย ยังไม่ชนะเลย วางกุลง!
เรื่องของชาวทมิฬ
ครับเรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก็จบลงแล้ว …มาถึงตรงนี้ผมอยากพูดอะไรนิดหนึ่ง…
คือมีหลายคนสมน้ำหน้าชะตากรรมของชาวทมิฬที่ต้องสิ้นชาติ เพราะพวกเขาสนับสนุนกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬผู้ชั่วร้าย
ผมอยากให้มองเปรียบเทียบกัน
คือพวกเราที่เล่นเว็บบอร์ดกันทุกคนก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปมีเหตุมีผล แต่สมมุติวันหนึ่งเราไปเจอโทรลตัวหนึ่งที่บ้าคลั่งมากๆ เข้ามาด่ากลุ่มการเมือง หรือศาสนาหนึ่งอย่างรุนแรงไร้เหตุผล
ถ้าโทรลตัวนั้นด่าสิ่งที่เราเคารพ บางทีเราก็ทนไม่ไหวต้องไปด่ามันตอบ ด่าไปด่ามาก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มด่ากลุ่มการเมืองหรือศาสนาที่อยู่ตรงข้ามอย่างรุนแรงมากขึ้นเหมือนกัน
คนธรรมดาทั่วไปที่มีเหตุผลแต่เผอิญนับถือกลุ่มการเมืองหรือศาสนาฝ่ายเดียวกับโทรล ตอนแรกจะเข้ามาตบกะโหลกโทรลอยู่แล้ว แต่พอเห็นเรากำลังด่าอย่างรุนแรง ลุกลามถึงสิ่งที่เขานับถือ บางทีเขาก็เงียบๆ บางทีทนไม่ไหวก็ด่ากลับแรงๆด้วย เกิดเป็นสงครามตอบโต้กันไปมา สร้างความเกลียดชังไม่สิ้นสุด
เรื่องนี้ก็เหมือนกันครับ พวกพยัคฆ์ทมิฬทำเรื่องที่ยากจะอภัยอย่างการฆ่าเด็ก ฆ่าผู้หญิง ฆ่าคนยอมแพ้ ฝ่ายสิงหลบางคนมีปัญญาน้อย ก็โกรธแค้นไปฆ่าชาวทมิฬบ้างเพื่อตอบโต้ ทำให้ชาวทมิฬและสิงหลสายกลางทนไม่ไหว เปลี่ยนเป็นสายรุนแรง เอาเรื่องนี้เป็นเหตุไปทำร้ายทำลายกันและกัน เอาชาติ เอาศาสนามาโยงกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ถึงกับต้องเอาชีวิตเข้าแลก
…พยัคฆ์ทมิฬก็เหมือนโทรลตัวใหญ่ เขาใช้การสร้างเรื่องรุนแรง บีบคั้นให้คนอื่นๆมีทางเลือกแค่มาร่วมกับเขา หรือเป็นศัตรูกับเขา…
เขาคิดว่าการทำแบบนี้จะช่วยให้เขาสร้างชาติสำเร็จ… และหลายครั้งวิธีแบบนี้ก็ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้จริงๆ
…นี่จึงกลายเป็นแนวทางของกลุ่มก่อการร้ายสมัยใหม่ที่เน้นโจมตีเป้าหมายอ่อนแอ แบ่งแยกผู้คนออกจากกัน เป็นมรดกเลือดที่พวกพยัคฆ์ทมิฬสร้างขึ้น…
อย่างไรก็ตาม ชาวทมิฬทั่วไปไม่ใช่โทรลนะครับ
พวกเขาก็เป็นคนเหมือนเรา มีสุข มีทุกข์ ดีใจ เสียใจเหมือนกัน…
พวกเขาเป็น “เหยื่อ” ที่ถูกพวกทั้งรัฐบาลศรีลังกา และกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬกระทำอย่างรุนแรงที่สุด…
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพเคว้งคว้างหาที่พึ่งไม่ได้…
…เผอิญคนที่เข้ามาให้คำตอบพวกเขากลับเป็นคนชั่ว…
เวลาผมติดตามข่าวชาวทมิฬ ใจหนึ่งผมก็สงสารที่พวกเขาถูกกดขี่ อยากให้พ้นจากความโหดร้าย มีที่ให้ยืนอยู่ได้…
…แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าถ้าพวกเขาสร้างชาติได้จริงๆ มันอาจจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ ทำให้เห็นว่าวิธีแบบนี้ใช้ได้ผล ต้องทำกันมากขึ้นๆ แล้วมันก็จะนำไปสู่ความวุ่นวายทั่วโลก
เวลาผมอ่านเว็บบอร์ดที่คนทมิฬคุยกันเอง ผมเห็นพวกเขาต่างก็ทราบดีถึงการที่กลุ่มพยัคฆ์ทมิฬทำเรื่องชั่วร้ายปล้น จี้ สังหารหมู่ และอีกมากที่ผมไม่ได้เอามาลงในกระทู้
…แต่พวกเขาก็แก้ตัวให้กันว่าสิ่งเหล่านี้เป็น “Necessary Evil”…
ผมอยากให้พวกเขาเชื่อว่า การกระทำของพวกพยัคฆ์ทมิฬนั้นไม่ใช่ Necessary Evil ยังมีหนทางที่ดีกว่านี้อีกมากมายที่จะทำให้เขายืนหยัดในประชาคมโลกอย่างสง่างาม
…ผมได้แต่เอาใจช่วยให้พวกเขาค้นพบหนทางที่ถูกต้องดีงามนั้น…
เรื่องของชาวสิงหล
ตอนที่ชาวสิงหลรู้ว่าได้รับชัยชนะนั้นต่างคนต่างก็ยินดีปรีดาออกมาฉลองชัยกันทั่ว
รัฐบาลออกข่าวทุกวันว่ามีหลายโครงการที่กำลังเข้าไปสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างสาธารณูปโภค ให้ชาวทมิฬพ้นภัยสงครามโดยเร็ว…
…แต่ใน “อนาคตที่ดีขึ้น” อันกล่าวอ้างนั้น …เรายังได้เห็นเด็กที่ต้องตกเป็นเหยื่ออย่างพลจันทร์…
…เรายังได้เห็นการกดขี่…
…เรายังได้เห็นการตาย…
…เรายังได้เห็นการลำพองในชัยชนะ และการเข้าไปเบียดเบียนชนกลุ่มน้อยอื่นๆอย่างพวกมุสลิม…
…
…
…หลังจากเอาชนะกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬได้ รัฐบาลศรีลังกาก็บอกว่า “สงครามจบแล้ว”…
…
…แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพูดเป็นครั้งแรก…
…เมื่อนาย เจ.อาร์.ชัยวัฒน์ ดำเนินนโยบายเอื้อประโยชน์ทางการศึกษาต่อชาวสิงหล เขาคิดจะยกเผ่าพันธุ์ของเขาขึ้นมามีฐานะเหนือกว่าพวกทมิฬ และทำให้ทุกอย่าง “จบ”…
…เมื่อนางจันทริกาส่งกองทหารไปยึดเมืองจาฟนาได้ เธอคิดว่าสามารถปราบพวกทมิฬจนราบคาบ และทำให้สงคราม “จบ”…
อาจมีหลายร้อยเหตุผลที่ทำให้ชาวสิงหลบอกตัวเองได้ว่า “ถึงทำแรงไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร”
แต่ประวัติศาสตร์ได้สอนเราเอาไว้อย่างหนึ่ง…
นั่นคือ “พวกเราทุกคนอยู่ในวัฏจักรเดียวกัน”
พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ประสบความทุกข์ยากเจ็บตายเหมือนกัน…
เมื่อ “เรา” ส่วนใดส่วนหนึ่งเจ็บปวด…
“เรา” ส่วนอื่นๆไม่มีทางที่จะหลีกพ้นจากความเจ็บปวดนั้นได้
เรายังคงต้องอยู่ด้วยกัน ต้องต่อสู้ ดิ้นรน เวียนว่ายในโลกที่หมุนไปเรื่อยๆใบนี้
…
…
ผมอยากกล่าวว่าในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติที่ผ่านมาหลายพันหลายหมื่นปีนั้น
…ไม่เคยมีอะไรจบลงจริงๆสักอย่างเดียว…