การรบแห่ง ซา คาม มาย
การรบแห่ง ซา คาม มาย (Battle of Xa Cam My) นับเป็นสมรภูมิหนึ่งในสงครามเวียดนามที่ถูกลืมและไม่เป็นที่กล่าวถึงมากนัก โดยการรบแห่ง ซา คาม มาย เป็นสมรภูมิที่สั้นมากๆสมรภูมิหนึ่งในสงครามเวียดนาม เพราะใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน คือ นับตั้งแต่วันที่ 11 จนถึงวันที่ 12 เดือนเมษายน ปี 1966
จริงๆแล้ว ตามแผนยุทธการค้นหาและทำลาย (Search and destroy) ฝ่ายอเมริกันมีวัตถุประสงค์ที่จะล่อ กองพันดี 800 (D800 Battalion) ของเวียดกง ออกมาเพื่อบดขยี้ แต่กลับกลายเป็นว่า กองร้อยชาร์ลี (Charlie Company) ต้องตกอยู่ในสภาพสู้เพียงเพื่อเอาตัวรอด หาใช่แค่ใช้เป็นตัวล่อข้าศึกอย่างที่ตั้งใจไว้ในดงป่าต้นยางที่ ซา คาม มาย (Xa Cam My) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก กรุงไซง่อน ไปทางตะวันออกประมาณ 68 กม.
ยุทธการครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การกวาดล้างกองโจรเวียดกง กองพันดี 800 โดยกำลังพลที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ระดมมาสำหรับยุทธการครั้งนี้ ได้แก่ กองพลทหารราบที่ 1 ของสหรัฐฯ สนับสนุนด้วยการยิงจากฐานปืนใหญ่ของนิวซีแลนด์ และ กองพันทหารที่ 1 ของออสเตรเลีย
พลตรี William E. DePuy ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 สหรัฐฯ วางแผนล่อเวียดกง ให้ออกมาจากที่ซุ่มซ่อน ด้วยการใช้กองร้อยชาร์ลีเป็นเหยื่อล่อ ให้เวียดกงเข้ามาติดกับ ทันทีที่เวียดกงเข้าโจมตีกองร้อยชาร์ลี เดอปุย ก็จะใช้กองหนุนบุกเข้าบดขยี้พวกเวียดกงทันที
วันที่ 11 เมษายน ปี 1966 กองร้อยชาร์ลี ปฎิบัติการมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าต้นยางเพื่อดำเนินการตามแผน แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เหมือนที่วางแผนกันไว้ตั้งแต่ต้น
พวกเขาต้องถูก สไนเปอร์ของเวียดกง ซุ่มยิงจนพวกจีไอไม่กล้าย่างสามขุมเพราะใครก้าวออกไปก็เจอสไนเปอร์ยิงให้ร่วงกองลงกับพื้นทุกที จีไอถูกยิงร่วงลงไปทีละคนๆ ราวกับใบไม้ร่วง พวกเวียดกงยิงกดหัวจีไอ ไปพร้อมๆกับแปรขบวนโอบล้อมพวกอเมริกันที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้
ในระหว่างการรบทหารอเมริกัน 134 คน จากกองร้อยชาร์ลี ต้องต่อสู้กับศัตรูที่ไม่เห็นตัว เพราะพวกเวียดกงใช้วิธีการซุ่มโจมตี โดยอาศัยพุ่มไม้เป็นเครื่องพรางตา
จนกระทั่งเวลาประมาณ 14.00 น.นายทหารเวียดกงก็พบที่ตั้งทั้งหมดของกองร้อยชาร์ลี และสั่งให้เหล่ากองโจรเวียดกง เข้าโอบล้อมไว้ทันที
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นายพลเดอปุย ก็เข้าใจผิดไปว่า พวกเวียดกงตะครุบเหยื่อแล้ว และยังคิดไปว่าป่าที่หนาทึบ จะไม่เป็นอุปสรรคแก่การช่วยเหลือกองร้อยชาร์ลี
กองร้อยชาร์ลีก็เลยต้องกลายเป็นเหยื่อจริงๆไป ในเมื่อเจ้านายไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริง กองร้อยชาร์ลีจึงต้องพึ่งตนเอง เพื่อลดความสูญเสีย และหยุดการซุ่มโจมตี กองร้อยชาร์ลีจึงแปรขบวนกันเป็นรูปวงแหวน เพื่อประสานการยิงกัน และไม่ให้พวกเวียดกงแหวกเข้ามา รวมทั้งค้นหาพวกเดียวกันที่กระจัดกระจาย เพื่อรวมตัวกันต่อสู้ แต่พวกเขาต่อสู้โดยที่ไม่ได้รับกำลังเสริมเลย
กองร้อยชาร์ลีไม่ยอมที่จะถูกเวียดกงระดมยิงอยู่แต่ฝ่ายเดียว พวกเขาได้เรียกการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่ แต่แล้วการประสานงานระหว่างพลวิทยุกับกองปืนใหญ่ ก็เกิดการระบุพิกัดเป้าหมายผิดพลาด ทำให้กระสุนปืนใหญ่ของพวกเดียวกัน ตกใส่ที่ตั้งของกองร้อยชาร์ลี ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นับว่าเป็นการซ้ำเติมพวกเดียวกันอย่างเจ็บแสบที่สุด
ในที่สุดยามราตรีก็มาเยือน สถานการณ์ของกองร้อยชาร์ลีในขณะนี้ตกอยู่ในภาวะล่อแหลมมากที่จะถูกละลายทั้งกองร้อย กองร้อยชาร์ลีใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาขว้างใส่พวกเวียดกงที่บุกเข้ามาอย่างก้าวร้าว แต่นั้นก็ยังไม่พอจะหยุดเวียดกงไม่ให้เข้ามาในแนวของกองร้อยชาร์ลีได้
รุ่งเช้าเหล่าพลพรรคเวียดกง ก็สามารถเข้าสู่พื้นที่ของอเมริกันได้สำเร็จ พวกเขาเข้ามาเก็บศพและคนเจ็บพวกเดียวกัน ออกไปจากสนามรบ และเดินไปเชือดคอหอยทหารอเมริกันที่นอนบาดเจ็บอยู่ทุกคนที่พบ ระหว่างทางที่พวกเขาเดินผ่านไป อย่างเลือดเย็น
ห้าชั่วโมงหลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือด ทหารในกองร้อยชาร์ลีที่เหลือ ได้เข้ารวมกลุ่มกันหนาแน่นขึ้น และได้รับการปกป้องด้วยการยิงจากกองปืนใหญ่ ด้วยอัตรายิง 5-6 นัด ต่อนาที กระสุนปืนใหญ่ที่ตกระเบิดรอบตัวพวกเขาครั้งนี้ เปรียบเสมือนสายสิญจน์ ที่จะป้องกันไม่ให้ปีศาจร้ายอย่างเวียดกง เข้ามาทำร้ายจีไอที่นั่งสั่นอยู่ในสายสิญจน์ได้
จนกระทั่งเวลาประมาณ 07.00 น.ของเช้าวันที่ 12 เมษายน พวกเวียดกงก็ล่าถอยไป ก่อนที่จีไอหน่วยอื่นๆจะมาถึง หากทหารหน่วยอื่นมาถึงช้ากว่านี้แค่นิดเดียว กองร้อยชาร์ลีคงต้องตายยกกองร้อย เพราะขณะนั้นทหารในกองร้อยบาดเจ็บและเสียชีวิตไปแล้วกว่า 80%
ผลจากเหตุกาณ์ครั้งนี้ มีทหาร 2 นายได้รับเหรียญกล้าหาญในการรบครั้งนี้ หลังจากได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ได้แก่ สิบเอก James Robinson กับ William Pitsenbarger โดยได้รับการปูนบำเหน็จในเดือนธันวาคม ปี 2000 (หลังสงครามจบไปแล้วกว่า 30 ปี)
ที่มา: webboard.gg.in.th & en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_Xa_Cam_My