พระพุทธรูปแห่งบามิยัน

พระพุทธรูปแห่งบามิยัน

3_1282044193.jpg_114

จังหวัดบามิยัน (Bamiyan Province) ในพื้นที่ฮาซาราจัต (Hazarajat) เป็นจังหวัดหนึ่งทางตอนกลางของประเทศอัฟกานิสถาน ตั้งอยู่ในหุบเขาบามิยัน (Bamiyan Valley) ซึ่งมีแม่น้ำหล่อเลี้ยงประชาชน ด้านหนึ่งเป็นเขา อีกด้านหนึ่งเป็นหน้าผาหินสูงชันแกะสลักเป็นพระพุทธรูปปางประทับยืน สภาพแวดล้อมของหุบเขารายล้อมไปด้วยความแห้งแล้ง แต่ที่แห่งนี้อุดมไปด้วยทุ่งหญ้าและน้ำ

หุบเขาบามิยันนี้ ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมระหว่างจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป มีการค้นพบศาสนสถานทางศาสนาพุทธและศาสนาฮินดูเป็นจำนวนมากกว่า 1,000 แห่ง เป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในบริเวณนั้นมาก่อนที่จะมีการมาของศาสนาอิสลามในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13

ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในบริเวณนี้คือ พระพุทธรูปองค์ใหญ่จำนวน 3 องค์ ซึ่งแกะสลักอยู่บนหน้าผาหินสูงชันกว่า 2,500 เมตรในหุบเขาบามิยัน มีอายุกว่า 1,500 ปี โดย พระพุทธรูปปางประทับยืน 2 องค์สำคัญ ที่ถูกระเบิดทำลายโดยรัฐบาลตาลีบัน คือ องค์ที่สร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 1050 (ค.ศ. 507) สูง 38 เมตร มีพระนามว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้า (Sakyamuni Buddha) และองค์ที่สร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 1097 (ค.ศ. 554) สูง 55 เมตร มีพระนามว่า พระไวโรจนะพุทธเจ้า (Vairocana Buddha) ก่อนถูกทำลายนับเป็น “พระพุทธรูปประทับยืนหินแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลก” หมู่พระพุทธรูปทั้งหมดนี้คาดกันว่าสร้างขึ้นโดย พระเถระและกษัตริย์ในราชวงศ์คุปตะแห่งอินเดีย ตามฝาถ้ำที่ได้ขุดเจาะกันไว้นั้น มีการวาดภาพซึ่งบ่งบอกถึงการผสมผสานของศิลปะคุปตะ ศิลปะคันธาระ (ศิลปะแกรนดารา) และศิลปะเปอร์เซียได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ กษัตริย์ในราชวงศ์คุปตะแห่งอินเดียได้รับคำแนะนำจากพระเถระว่า ถ้าทำการก่อสร้างพระพุทธรูปแห่งบามิยันจะนำความรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักร ครั้นเมื่อ พระถังซำจั๋ง (หลวงจีนเฮียงจัง) ได้เดินทางไปชมพูทวีปในปี พ.ศ. 1173 (ค.ศ. 650) ท่านได้เล่าว่า พระพุทธรูปได้เหลืองอร่ามไปด้วยทองคำและมีพระกว่า 1,000 รูปจำวัดอยู่

สำหรับผู้ค้นพบพระพุทธรูปประทับยืนหินแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งบามิยัน (Buddhas of Bamiyan) คือ ศาสตราจารย์เซมาร์ยาไล ทาร์ซี นักโบราณคดีเอกของโลก มหาวิทยาลัยสตาร์สบูรก์ ประเทศฝรั่งเศส
ที่นี่มีอารามมากกว่า 10 แห่ง มีพระสงฆ์หลายพันรูป ล้วนเป็นฝ่ายโลกุตตรยาน (โลกุตตรวาทิน) สังกัดนิกายหินยาน (เถรวาท) พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ คือ พระอารยทูต (Aryaduta) และพระอารยเสน (Aryasena) มีความรู้ในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี ที่เนินเขาของนครหลวงมีพระพุทธรูปยืนซึ่งจำหลักด้วยศิลา สูง 150 เฉี๊ยะ (มาตราวัดจีน) ถัดจากนี้ไปเป็นอาราม และพระปฏิมาจำหลักด้วนแก้วกาจ สูง 100 เฉี๊ยะ อารามแห่งนี้มีพระพุทธไสยาสน์ความยาว 1,000 เฉี๊ยะ บรรดาพระพุทธรูปเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือที่ปราณีต สวยงาม นอกจากนี้แล้วยังมีอารามประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว พระทันตธาตุของพระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีต

ระหว่างช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี ของพระพุทธรูปแห่งนี้ ได้พบเจอกับสงครามและการจู่โจมมาโดยตลอด ถึงแม้จะมีชนพื้นเมืองชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งคือชาวฮาซารัส ได้ปกป้องศาสนาสถานแห่งนี้มาก็ตาม เริ่มต้นด้วยการเสื่อมถอยของศาสนาพุทธในบริเวณนี้และการมาของศาสนาอิสลาม การทำลายและการบุกรุกโจรกรรมวัตถุต่างๆ จากถ้ำภายในตั้งแต่ 900 ปีที่แล้ว จนมาถึงปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) เมื่อสหภาพโซเวียตนำทหารเข้าบุกเข้าโจมตีอัฟกานิสถาน ตามมาด้วยสงครามอัฟกัน และสิ้นสุดลงด้วยการระเบิดของกลุ่มตาลีบันในปี พ.ศ. 2544 จากการสำรวจได้มีรายงานว่า กว่า 80% ของภาพตามฝาผนังถ้ำได้ถูกทำลายลงไปแล้ว
คำให้การของ นายชีค มีร์ซา ฮุสเซน มือระเบิดทำลายพระพุทธรูปบามิยัน ตามคำสั่งของตาลีบัน กล่าวว่าถ้าเขาไม่ระเบิดพระพุทธรูป ตาลีบันจะฆ่าเขาทิ้ง เพราะก่อนหน้านั้นตาลีบันฆ่าลูกชายสองคนของเขาเหมือนสุนัขข้างถนน เขาจึงต้องทำเพื่อการอยู่รอด เขามีความเชื่อว่าด้านหน้าของพระพุทธรูปที่ถูกทำลายลง มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มีพระพักตร์อมยิ้ม ฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้ยินมาจากบรรพบุรุษสืบขานกันต่อหลายชั่วอายุคน สอดคล้องกับคำบอกกล่าวของพระถังซัมจั๋ง ที่ได้เห็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้เช่นกัน ซึ่งนักโบราณคดีได้ขุดพบส่วนพระบาทของพระนอน เมื่อปี ค.ศ. 2005

ที่มา: http://www.baanjompra.com/webboard/thread-4447-1-1.html

Leave a Reply